หมอเต้ เล่าประสบการณ์แผ่นดินไหว วิ่งขึ้นตึกชั้น 5 กลับไป "ผ่าคลอด" เสร็จแล้วยังได้แบกคนไข้อีกรายลงมาชั้นล่าง
นายแพทย์ภาคภูมิ เตชะขะวนิชกุล หรือ หมอเต้ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์เสี่ยงชีวิตขณะเกิดแผ่นดินไหว ผ่านทางเฟซบุ๊ก พบหมอเต้ ระบุว่า ขณะเกิดเหตุประมาณบ่ายโมง หมอเต้ กำลังประชุมอยู่ในตึก จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลายครั้ง และรู้สึกว่าตัวโคลงเคลง ก่อนรุ่นพี่จะบอกว่าเกิดแผ่นดินไหว ให้ทุกคนรีบออกจากตึก
เมื่อลงมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ก็มีโทรศัพท์จากอาจารย์วิสัญญีที่เคารพท่านหนึ่ง โทรตามให้มาช่วยผ่าตัดทำคลอดชั้น 5 เพื่อจะได้เสร็จไวขึ้น แม้ในใจหมอเต้จะแอบกลัว แต่ก็ฮึดสู้วิ่งกลับเข้าตึกสวนทางกับคนที่กำลังวิ่งออกมาในขณะที่ตึกก็ยังโคลงเคลง อย่างไรก็ตามการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แม่และเด็กปลอดภัย ทุกคนจึงรีบออกจากตึก
ระหว่างที่ลงบันไดหนีไฟ หมอเต้ก็พบคนไข้ที่เพิ่งผ่าตัดให้เมื่อเช้านั่งพักอยู่ เพราะญาติแบกลงไปไม่ไหว หมอเต้จึงอาสาแบกคนไข้ขึ้นหลังและพาลงมาชั้นล่างอย่างปลอดภัย
สุดท้าย ทุกคนในโรงพยาบาลร่วมมือกันอย่างดี โชคดีที่ไม่มีอาฟเตอร์ช็อกรุนแรง และสามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยความปลอดภัย
โพสต์ของหมอเต้ กลายเป็นไวรัล ผู้คนต่างเข้ามาแสดงความชื่นชม การเสียสละ และความทุ่มเทของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ ที่แม้สถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ยอมเสียสละเสี่ยงชีวิตเพื่อดูแลรักษาคนไข้
เมื่อแผ่นดินไหว ...มันน่ากลัวดีครับ ใจสั่นไปหมดเลย ตึกหยุดสั่นแล้ว มือกับใจยังสั่นอยู่เลย เพราะไม่เคยเจอมาก่อน เลยอยากจะขอเล่าผ่านตัวอักษรครับ
ประมาณบ่ายโมง ผมกำลังอยู่ในห้องประชุม ขณะที่แพทย์ประจำบ้าน ผู้ซึ่งผมเป็นที่ปรึกษา เธอกำลังนำเสนอ ผลงานโครงร่างวิจัยอย่างเข้มข้นอยู่นั้น ก็มีเสียง “ปั้ง ปั้ง ปั้ง”
สักสามถึงสี่ครั้ง ออกจากเพดานห้องประชุม ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกเวียนศีรษะ มีความรู้สึกโคลงเคลง จึงลุกขึ้นยืน พบว่ายืนแล้วเซเล็กน้อย
พร้อมกันนั้น มีรุ่นพี่รีบเดินออกมาจากห้องด้านในถัดไปอีกห้องหนึ่ง พร้อมตะโกนว่า... “แผ่นดินไหว รีบออกจากตึก”... ขณะนั้น ผมและทุกคนในห้องประชุมพยายามรีบเอาตัวออกจากตึกให้เร็วที่สุด โดยรีบเดินไปที่บันไดหนีไฟ ที่เราเดินกันอยู่ทุกวี่วัน แต่วันนี้นั้น มันไม่เหมือนเดิม ผู้คนพยายามวิ่งบ้าง เดินเร็วบ้าง เกาะราวบันไดบ้าง บ้างก็ช่วยกันพยุงลงจากบันได กันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะขยับตัวไหว
ผมลงมาถึงชั้นล่างสุด และออกจากตึกมาได้ อาจารย์รุ่นพี่ท่านหนึ่ง ดึงแขนผมและพูดว่า “ออกไปให้ห่างจากตัวตึกนะเต้” ผมจึงรีบเดินไปให้อยู่ในที่โล่งที่สุดและไกลจากตึกที่สุด
...เดินไปเกือบๆจะถึงทางเลี้ยวออกหน้าโรงพยาบาล ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ปลายสายเป็นอาจารย์วิสัญญีที่เคารพรักขึ้นมาบนหน้าจอมือถือ ว่ามีสายเรียกเข้า
ผมรับสาย เสียงปลายสายนั้น เป็นเสียงชายหนุ่มทุ้มๆ ซึ่งผมเพิ่งจะพูดคุยด้วย หลังจากผ่าตัดเสร็จไปในช่วงเช้า
เสียงในสายพูดว่า “อาจารย์เต้ ออกไปจากโรงพยาบาลแล้วหรือยังครับ รบกวนขึ้นมาช่วยผ่าตัดคลอดที่ชั้น 5 ได้ไหมครับ จะได้เสร็จไว เพราะตอนนี้ แพทย์ประจำบ้านกำลังผ่าตัดอยู่” ในใจก็คิดว่าเอาไงดี ภาพในหัวที่ปรากฎขึ้นคือ ภาพในข่าว ที่คนติดอยู่ภายใต้ซากตึกที่ถล่มลงมา แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
ผมจึงหยุดเดินและวิ่งสวนทางกลับ วิ่งไปคิดว่าเร็วกว่าตอนลงมาเสียอีก วิ่งกลับเข้าตึก ชั้น 1 เริ่มไม่มีคนแล้ว พอไปถึงบันไดหนีไฟ ผู้คน เจ้าหน้าที่และผู้ป่วย ก็กำลังทะยอยออกมาจากตึก มีเสียงพูดจากผู้คนที่ผมวิ่งสวนทางไปว่า “อาจารย์เต้ไปไหน” “อาจารย์เต้ไปทางนี้” “ลงครับ ออกด้านนี้”
พอผมขึ้นไปถึงชั้น 5 ตอนนั้น ด้านนอกห้องผ่าตัดไม่มีคนแล้ว ผมวิ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด หยิบเสื้อคลุม และเดินเข้าไปยังห้องผ่าตัดห้องที่ 4 พบว่าแพทย์ประจำบ้านกำลังผ่าตัดเพื่อทำคลอดทารกอยู่ คุณพยาบาลที่รักท่านหนึ่ง เดินมาแล้วพูดว่า “เข้าเคสเลยนะคะ” ผมพยักหน้า แล้วเข้าเคสไปช่วยผ่าตัด ขณะผ่าตัดนั้น ก็ยังมีความโครงเครง และตึกยังโยกอยู่บ้างเบาๆ