นอกจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ต้องรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว รัฐบาลจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบที่ช่วยให้ทั้งประชาชนและธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว
ธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงและช่วยลดภาระทางการเงินของประชาชนและองค์กรเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวถือเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติที่สร้างความท้าทายอย่างยิ่งต่อธุรกิจประกันภัย เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นแบบสุ่มและยากต่อการคาดการณ์ในระยะยาว การบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยในกรณีนี้ จึงต้องพึ่งพา “คณิตศาสตร์ประกันภัย” ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการจัดการเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริง
ผลกระทบเมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง
หากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บริษัทประกันภัยอาจต้องเผชิญกับการเรียกร้องสินไหมทดแทนจำนวนมหาศาล หากไม่มีการสำรองเงินทุนตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เพียงพอ หรือไม่มีการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับบริษัทประกันภัยระดับสากล ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในอุตสาหกรรม
การปรับตัวของธุรกิจประกันภัย
ในระยะยาว ธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้ทันสมัย เช่น การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประเมินโอกาสเกิดเหตุการณ์และคำนวณเบี้ยประกันภัยได้อย่างแม่นยำ
เนื่องจากธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยธรรมชาติ รัฐบาลสามารถเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมนี้ในหลายมิติ ดังนี้
1.การสร้างกองทุนสำรองภัยพิบัติ
ภาครัฐสามารถจัดตั้ง “กองทุนสำรองภัยพิบัติ” เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของบริษัทประกันภัยในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติรุนแรง โดยกองทุนนี้อาจถูกนำไปใช้เป็นเงินช่วยเหลือสำรองกรณีที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายสินไหมทดแทนจำนวนมาก
2.การสนับสนุนการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)
ภาครัฐอาจจัดตั้งโครงการที่ช่วยให้บริษัทประกันภัยในประเทศ สามารถเข้าถึงบริการประกันภัยต่อจากบริษัทระดับสากลได้ง่ายขึ้น เช่น การเจรจาเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างบริษัทประกันภัยในประเทศกับบริษัทต่างชาติ
3.การกำกับดูแลและสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม
ภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายและข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสำรองเงินทุน การออกแบบกรมธรรม์ หรือการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคงและโปร่งใส
4.การส่งเสริมความรู้และความตระหนักในประกันภัย
ภาครัฐสามารถร่วมมือกับภาคธุรกิจประกันภัยในการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว เช่น ประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ หรือการคุ้มครองพิเศษสำหรับธุรกิจในพื้นที่เสี่ยงสูง
นอกเหนือจากการป้องกันและส่งเสริมการทำประกันภัย รัฐยังมีบทบาทสำคัญในมาตรการช่วยเหลือหลังเหตุการณ์ ได้แก่
+ การช่วยฟื้นฟูธุรกิจประกันภัยหลังวิกฤต โดยรัฐบาลอาจให้เงินสนับสนุนหรือมาตรการลดหย่อนภาษีแก่บริษัทประกันภัยที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของอุตสาหกรรม
+ การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหาย การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัย จะช่วยให้การพิจารณาสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดและใกล้ตัวเรา สามารถทำได้โดยเริ่มจากการเปิดกรมธรรม์ประกันภัยที่เรามีอยู่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นประกันบ้าน ประกันรถยนต์ รวมถึงประกันชีวิต แล้วเช็กให้แน่ใจว่า “ภัยแผ่นดินไหว” อยู่ในความคุ้มครองหรือยัง ถ้ามันเขียนว่าเป็นข้อยกเว้นหรือไม่คุ้มครอง ก็แปลว่าความเสี่ยงของความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวยังมีติดกับตัวเราอยู่ การจะผ่องถ่ายความเสี่ยงนี้ไปได้ก็สามารถทำได้โดยให้บริษัทประกันภัยรับไว้ โดยสามารถหาอ่านรายละเอียดหลักการคำนวณเบี้ยประกันภัยตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มเติมได้ที่ www.tommypichet.com/article
“ประกันแผ่นดินไหวไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ โดยการบริหารความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลหรือธุรกิจ แต่ยังเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัยที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อให้ระบบประกันภัยของประเทศสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว”