นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยเผชิญวิกฤตอีกครั้ง จากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างการเกิดเหตุแผ่นดินไหวโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบทำให้การท่องเที่ยวในประเทศอาจชะลอตัวลง รัฐบาลจึงควรเร่งดำเนินโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ที่รัฐบาลจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว 50% ในเมืองรอง ส่วนเมืองหลักสมทบ 40% ออกมากระตุ้นการเดินทางของตลาดไทยเที่ยวไทย หรือคนในประเทศก่อน โดยอยากให้กำหนดสิทธิผู้เข้าร่วมโครงการออกมาเลย 1.5 – 2 ล้านสิทธิ เพื่อบูสต์ท่องเที่ยวในช่วงนี้ เนื่องจากประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวปี 2568 นี้ คาดว่าจะลดลง โดยเฉพาะช่วงนี้ ซึ่งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงสงกรานต์คาดว่าจะลดลงเหลืออยู่ที่ 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่อยู่ประมาณ 65% หรือลดลงมากถึง 8% ของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยตลอดทั้งปีนี้ที่คาดว่าจะวิ่งอยู่ประมาณ 65%
นายเทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ความเห็นส่วนตัวก็อยากให้ภาครัฐแนบใบประกาศนียบัตรโรงแรมที่ผ่านการตรวจความปลอดภัยของอาคารหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่จากเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขถึงขั้นนั้นมีเพียงการตรวจใบกำกับเสียภาษีเท่านั้น โดยการเลือกห้องพักขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บริโภค ซึ่งโรงแรมที่อยู่ในระบบจะมีบัตรประกาศนียบัตรเพื่อรับรองความปลอดภัยของตัวอาคาร เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้ามากขึ้น
“บรรยากาศการท่องเที่ยวปีนี้ไม่ได้ดีมากนัก จากการประเมินพบว่า ความคึกคักน่าจะสู้ปี 2567 ไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ เดือนเมษายนนี้ ที่ภาคเอกชนกังวลว่าจะมีความเงียบเหงามาก เพราะตอนนี้เป็นภาวะในการสะท้อนภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจแล้ว หลังผ่านโควิดมาสองปีคนอัดอั้นอยากเที่ยวจึงทำบรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคักมากกว่าปกติ” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ซึ่งมีรูปแบบคล้ายโครงการเราเที่ยวด้วยกัน แต่ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 50% และนักท่องเที่ยวไทยจ่ายเองอีก 50% สำหรับท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองน่าเที่ยวหรือเมืองรอง ส่วนในเมืองท่องเที่ยวหลักภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ 40% และนักท่องเที่ยวไทยจ่ายเองอีก 60% โดยรัฐสนับสนุนสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน
