เปลี่ยนโฉมให้ไม่มีใครจำได้ และกักขังเขาไว้อย่างแนบเนียน แต่ไม่มีอาชญากรรมใดที่สมบูรณ์แบบ การสืบสวนของเจ้าหน้าที่นำไปสู่การพบตัวโจดี้ในเมืองอนาไฮม์ และในที่สุด ดูเซต์ถูกจับกุม โจดี้ได้กลับสู่อ้อมอกครอบครัว
แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้นวันที่ 16 มีนาคม 1984 ท่ามกลางแสงแฟลชและกล้องโทรทัศน์ที่จับจ้อง
"แกรี่ โพลูเช่" พ่อของ
โจดี้ ยืนรออยู่ที่สนามบินแบตันรูชในขณะที่เจ้าหน้าที่นำตัวดูเซต์ออกจากเครื่องบิน ขณะที่ทุกคนกำลังโฟกัสไปที่อาชญากรผู้ชั่วร้าย จู่ๆ แกรี่ก็ชักปืนออกมา เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดต่อหน้าผู้สื่อข่าวทั่วประเทศ
กระสุนฝังเข้าที่ศีรษะของ
ดูเซต์ ร่างของเขาล้มลงทันที ทุกสายตาตกตะลึง หลายคนกรีดร้องด้วยความช็อก ชายผู้ลักพาตัวลูกชายของเขา ถูกวิสามัญกลางรายการสด



"ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?" เจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนถาม ขณะที่ล็อกตัวคุณพ่อของโจดี้
"ถ้าเป็นลูกชายคุณโดนแบบนี้ คุณก็คงทำเหมือนกันแหละ!" แกรี่ ตะโกนกลับ
เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นร้อนทั่วสหรัฐฯ ชาวโซเชียลพากันเข้าข้างคุณพ่อ พร้อมระดมเงินช่วยเหลือหลายล้านบาทเพื่อประกันตัว ในท้ายที่สุด ศาลพิจารณาลงโทษเพียงให้บำเพ็ญประโยชน์ 300 ชั่วโมง
ปัจจุบัน "โจดี้ โพลูเช่" ซึ่งตอนนี้อายุเกือบ 50 ปี กลายเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเหยื่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ เขาเขียนหนังสือให้กำลังใจเหยื่อและให้คำแนะนำแก่พ่อแม่ในการปกป้องลูกจากภัยอันตราย

เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ล้างแค้นที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา มันคือความเจ็บปวดของพ่อที่ไม่อาจทนได้ การกระทำของแกรี่จุดประกายให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับศีลธรรม กฎหมาย และความยุติธรรม เมื่อคนเป็นพ่อเห็นลูกชายถูกพรากไป ความโกรธแค้นย่อมพุ่งทะยานเหนือทุกสิ่ง.

