ผมประทับใจผู้นำสิงคโปร์มากในเรื่องการสื่อสารเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
เพราะแสดงความเป็น “ผู้นำ” ในยามวิกฤตที่ดีมาก
เขาออกมาแถลงข่าวบอกเล่าปัญหาให้กับประชาชน พร้อมกับทางแก้ไข และแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ได้ใหญ่ระดับ “แผ่นดินไหว” ทางเศรษฐกิจ
จนกระทั่งได้ฟัง “ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แถลง
ทั้งที่สิงคโปร์เจอกำแพงภาษีแค่ 10%
จิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
แต่ “หว่อง” ออกมาแถลงกับประชาชน ฉายภาพให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน
เพราะมันคือการทำลายระบบการค้าเสรี
“สิงคโปร์” เป็นประเทศเล็กที่อาศัยกฎกติกาของระบบการค้าเสรี แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไปกลายเป็นการก่อสงครามการค้าระหว่างประเทศ
แบบนี้ประเทศใหญ่ได้เปรียบ
ประเทศเล็กเสียเปรียบ
ต้องยอมรับว่านายกฯ สิงคโปร์สื่อสารได้ดีมาก
เห็นภาพรวมทั้งหมด
โดยเฉพาะที่บอกว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในโลกใบนี้เมื่อปี 1930
และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
ประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมรู้สึกเลยว่าสงครามการค้าที่ “ทรัมป์” จุดกระแสขึ้นครั้งนี้มันมีโอกาสเป็นหายนะของโลก
ถ้า “ทรัมป์” ไม่ปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายของเขา
ผมชอบวิธีการสื่อสารของ “ลอว์เรนซ์ หว่อง”
เขาใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา นั่งบนเก้าอี้กลางห้องทำงาน
เหมือนเพิ่งทำงานเสร็จแล้วมานั่งล้อมวงคุยกับคนสิงคโปร์
ตามองกล้อง เหมือนกำลังสบตากับประชาชน
พูดช้า ๆ หนักแน่น ด้วยภาษาง่าย ๆ ไม่หรูหรา
“ต้นสน” ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่เคยทำงานที่สิงคโปร์บอกผมว่า ผู้นำสิงคโปร์เคยสื่อสารกับประชาชนแบบนี้มาครั้งหนึ่ง
ตอนที่เกิดโควิดระบาด
ตอนนั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่นาน
แต่ผู้นำสิงคโปร์เตือนประชาชนว่าโควิดจะยาวนาน
ดังนั้น การออกมาพูดแบบเดียวกันในวันนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนประชาชนสิงคโปร์ทุกคนให้เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่ประมาท
มีหลายคนนำเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ หรือแถลงการณ์ที่ออกมา
ต้องยอมรับว่าข้อความที่คุณแพทองธารสื่อสารออกมา ไม่ทำให้คนไทยเกิดความมั่นใจในรัฐบาลมากนัก
โดยเฉพาะแถลงการณ์ที่ไม่มีเนื้อหาที่จับต้องได้
มีแต่คำที่ลอย ๆ
นอกจากนั้น การเรียกประชุมคณะทำงานในวันอังคารที่ 8 มีนาคม หลังวันหยุดยาว 3 วัน
ยิ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่ารัฐบาลกระตือรือร้นกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจครั้งนี้น้อยไป
จนเมื่อ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ
ผมถือว่าการสื่อสารครั้งนี้ช่วยรัฐบาลได้เยอะ
เห็นวิธีคิด วิธีทำงานของคณะทำงานว่ากำลังทำอะไรอยู่
การเคลื่อนของรัฐบาลใคร ๆ ว่า “ช้า” จริง ๆ คือความตั้งใจที่จะไม่เร็วเกินไป
เพราะเร็วเกินไปก็ไม่มีประโยชน์
อาจจะเสียมากกว่าได้
เหมือนกับ “เวียดนาม” ที่เทเกือบหมดกระเป๋า แต่ “ทรัมป์” ยังจะขอเพิ่มอีก
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ดีของรัฐบาลในการปรับเรื่อง “การสื่อสาร”
ไม่ต้องให้นายกฯ “อุ๊งอิ๊ง” มานั่งแถลงข่าวแบบนายกฯ สิงคโปร์ก็ได้
เพราะทุกคนไม่ได้เก่งในเรื่องนี้เหมือนกัน
สมัยก่อน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ที่ “อาจารย์โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร เคยบอกว่าก็ท่านไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย
วิธีการของ พล.อ.เปรม คือไม่พูดเรื่องนี้
จะพูดแค่หลัก ๆ แล้วให้ “อาจารย์โกร่ง” อธิบายเป็นภาษาง่าย ๆ แทน
หรือนายอานันท์ ปันยารชุน ก็ใช้วิธีการสื่อสารด้วยการคิดมาจากบ้าน ว่าจะพูดเรื่องอะไรกับประชาชน
และนำประเด็นเอง ไม่พูดตามคำถามของสื่อ
ตั้งใจบอกอะไรกับประชาชนก็พูดเลย
ที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ต้องไม่ลืมว่า “การสื่อสาร” ไม่ได้หมายถึงแค่ “คำพูด”
แต่หมายถึง “การกระทำ” ด้วย
อย่างกรณีเรื่องกำแพงภาษีของ “ทรัมป์” ถ้าไม่สามารถบอกตรง ๆ ได้ว่าเราวางแผนการเจรจาอย่างไร
อย่างน้อย “แอ็กชั่น” ที่ประชาชนควรได้เห็นคือการทำงานแบบ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด
จะเป็นของทีมทำงาน หรือตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ตาม
ประชาชนจะได้อุ่นใจว่ารัฐบาลกำลังทำงานอยู่
ไม่ใช่รอประชุมหลังวันหยุดยาว