‘หอการค้า’แนะรบ.-ธุรกิจ รับมือภาษีมะกัน-ศก.ผันผวน
GH News April 16, 2025 01:20 PM

‘หอการค้า’แนะรบ.-ธุรกิจ รับมือภาษีมะกัน-ศก.ผันผวน

หมายเหตุ – จากกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศต่างๆ แล้วประกาศชะลอบังคับใช้ แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในนโยบายการค้า ได้สร้างความปั่นป่วนทั้งตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกท่ามกลางสงครามทางการค้ากับจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และผลพวงจากแผ่นดินไหว อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่มบรรดาหอการค้าได้สะท้อนมุมมองเมื่อวันที่ 15 เมษายน ดังนี้

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย

จากกรณีความผันผวนของนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มนำเข้าและส่งออกไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าในระยะยาวได้ อย่างระยะล่วงหน้า 6 เดือน-1 ปี เป็นเรื่องยากมาก

ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจต่างต้องปรับแผนให้สั้นที่สุด อาจจะเหลือเพียงระยะล่วงหน้าแค่ 3 เดือนเท่านั้น เพราะสถานการณ์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก และต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างอยู่ตลอดเวลา

ทั้งนี้ ในส่วนภาคการส่งออกถือว่ายังมีแรงส่งอยู่ โดยช่วงไตรมาสแรก ปี 2568 ยังทำตัวเลขมูลค่าการส่งออกได้ค่อนข้างดี เนื่องจากประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาเอง มีความกังวลกับการที่สหรัฐออกนโยบายปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก ทำให้มีการเร่งนำเข้าสินค้า เตรียมการก่อนถึงวันที่มีผลเรียกเก็บภาษีเพิ่ม

ทั้งนี้ แต่เดิมหลายภาคส่วนคาดว่าการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 จะชะลอตัวจากการที่สหรัฐได้ประกาศ ว่าจะบังคับใช้ภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา แต่พอถึงเวลาจริงกลับมีการประกาศเลื่อนออกไปก่อน 90 วัน ดังนั้น ยังมีโอกาสที่ตัวเลขการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ยังมีการเร่งขยายตัวต่อเนื่องอีกครั้ง เพราะว่าความไม่แน่นอน ทำให้ผู้นำเข้าพยายามที่จะเร่งนำเข้าสินค้ามากขึ้น

ทั้งนี้ ความชัดเจนของทิศทางการส่งออกในครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด เชื่อว่าประเทศต่างๆ ก็มีสินค้าคล้ายกัน น่าจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราใกล้ๆ กัน เพราะฉะนั้น เรื่องการส่งออกไทย ยังคงเดินหน้าต่อได้ แต่อาจจะไม่หวือหวา เพราะว่ามีแรงกกดดันเรื่องภาษี แม้ว่าภาษีจะไม่ได้ขึ้นหนักๆ ทั้งหมด แต่ว่าภาพรวมอย่างน้อยที่สุด ขณะนี้ทุกประเทศก็โดนอัตราพื้นฐานที่ 10% ไปแล้ว

ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยว ก็ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐเช่นกัน ที่ได้ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคทั่วโลกลดลง ขณะที่การท่องเที่ยวไทยในปีที่ผ่านมานั้นทำได้ดีมาก ทำให้ปีนี้มีความคาดหวังว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเป้าหมายที่ 38 ล้านคนต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายและยังคงต้องรอลุ้น 2-3 เดือน

นอกจากนี้การบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะชะลอตัวลงจากความไม่มั่นใจในภาพรวมของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากประเทศไทยมีการพึ่งพาสองภาคเศรษฐกิจหลัก คือ การส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งมี ความผันแปรกับเศรษฐกิจภายนอกประเทศสูง ฉะนั้นโดยรวมภาพแล้ว เชื่อว่าช่วงที่เหลือของปี 2568 ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้การประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ทางประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยังคงตั้งไว้ที่ 2.4-2.9% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี จะมีการพิจารณาและประเมินจีดีพีปี 2568 ใหม่อีกครั้ง โดยจะประเมินได้จริง หลังจากนโยบายภาษีของสหรัฐมีความชัดเจนในสามเดือนข้างหน้า

นายไพจิตร มานะศิลป์
ประธานหอการค้านครราชสีมา

จากนโยบายปรับขึ้นภาษีของ โดนัลล์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมากสำหรับการปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะล่าสุดภาษีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นตลาดหลักของไทยทั้งสินค้าด้านการเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ อย่างในจังหวัดนครราชสีมานั้นก็มีบริษัทหลายบริษัทที่ส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งในการรับมือกับเรื่องดังกล่าวนั้นมองว่าประเทศไทยควรหาตลาดในการส่งออกใหม่ดูบ้าง นอกจากทางฝั่งอเมริกา เช่น อินเดียหรือประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียที่มีประชากรจำนวนมาก

นอกจากจะหาตลาดส่งออกแห่งใหม่แล้วประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้าภาคการเกษตร เช่น การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การแปรรูปสินค้าเกษตร รวมไปถึงการเพิ่มทักษะของแรงงานและใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลกได้

นอกจากนี้เหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ทำให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลง มีคนบาดเจ็บ เสียชีวิตจำนวนมากนั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเรื่องของความเชื่อมั่นไม่มากเท่าไร เนื่องจากเป็นตึกที่พังถล่มลงมานั้นมีเพียงแค่ตึกเดียว แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนนั้นทางรัฐบาลควรเร่งสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของการที่ตึกนั้นพังถล่มลงมาหาต้นตอของสาเหตุให้ได้ทำความจริงให้ปรากฏ จะคืนความเชื่อมั่นให้กลับมาได้

ผมได้เตรียมความพร้อมในการดึงนักลงทุนและนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์จากกรุงเทพฯมายังโคราช เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้นก็มีเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนซื้อที่ดินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มาอย่างต่อเนื่องทำให้มองว่าตรงนี้คือโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยที่ในระหว่างนี้ได้มีการพูดคุยหารือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดถึงปัญหาต่างๆ ในโคราชที่อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน อย่างไรก็ตามถึงแม้ไม่ใช่เรื่องหลัก แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนก็คือเรื่องของสถานการณ์น้ำในพื้นที่นครราชสีมา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและได้พยายามติดตามงบประมาณโครงการที่จะผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มายังจังหวัดนครราชสีมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงในเรื่องของน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา

นายสลิล โตทับเที่ยง
ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ภาวะตอนนี้ค่อนข้างจะสับสนกล่าวคือ ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดเรื่องภาษีแล้วมีการยืดระยะเวลาออกไป ฉะนั้นแนวทางของหอการค้าไทยรวมทั้งกลุ่มจังหวัดอันดามันคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันกับทางสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เราได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และเกิดประโยชน์มากที่สุด โดยทีมงานหอการค้าไทยได้เสนอไปยังรัฐบาล ที่อาจจะผ่อนปรนการนำเข้าวัตถุดิบบางตัว ที่ประเทศไทยต้องการเพื่อนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น และส่งออกต่อไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะตอนนี้ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์หรือปศุสัตว์ในประเทศค่อนข้างสูง เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์ราคาสูง และหากจะนำเข้าข้าวโพดซึ่งอเมริกาเองก็มีความต้องการจะระบายข้าวโพดออกนอกประเทศอยู่แล้ว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของเขา

ดังนั้นในการไปเจรจาหากไทยได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาในราคาที่ถูกและมีปริมาณมากพอ เราก็นำข้าวโพดนั้นมาใช้ในภาคปศุสัตว์ของประเทศได้ และมีผลทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ถูกลง ราคาเนื้อหมูอาจจะต่ำกว่าในปัจจุบันนี้

2.ในขณะที่บางอย่างเราให้ภาษี 0% ไปแล้ว เช่น เนื้อวัว ฉะนั้นถ้าสามารถนำเอาเนื้อวัวเกรดพรีเมียมเข้ามาได้ ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ประเทศไทยเราสามารถใช้ต่อรองได้

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่ควรจะเร่งทำควบคู่กันไป เมื่อมีการบีบมาจากฝั่งอเมริกาแล้ว เราควรหาตลาดอื่นๆ รองรับติดต่อเรื่องเอฟทีเอให้เร็วขึ้น โดยกลุ่มใหญ่ๆ ก็จะเป็นกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป, อินเดีย, แอฟริกา, อเมริกาใต้ รวมทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศจีน ซึ่งจำเป็นต้องวิ่งหาตลาดอื่นรองรับ เพื่อลดความเสี่ยงและความกดดันจากสหรัฐอเมริกา และต้องเร่งมือมากขึ้นในส่วนนี้ อยากจะให้รัฐบาลตั้งเป็นทีมไทยแลนด์พิเศษเพื่อดูภาพรวมของสินค้าทั้งระบบ ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งสามารถแก้ปัญหาและหาทางออกในอนาคตได้ดีขึ้น

นอกจากนี้สินค้าบางรายการ อาทิ ยางพารา แม้จะไม่ได้ส่งไปสหรัฐเป็นตลาดหลัก แต่สินค้าที่เราส่งออกไปจีนแล้วจีนผลิตสินค้าส่งไปขายที่อเมริกาตรงนี้ ไทยก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้นต้องหาตลาดอื่นเพิ่มเติมมากขึ้น แม้ว่าสหรัฐจะเป็นตลาดใหญ่ แต่ทุกวันนี้ตลาดที่กำลังเติบโต ไม่ว่าจะเป็นอินเดียหรือแอฟริกาถือเป็นตลาดที่โตเร็วมาก

ส่วนสินค้าหลักของสหรัฐฯที่ส่งออก และเรื่องนำเข้ามายังเมืองไทยจากการจะไปเจรจา ต้องดูที่ความจำเป็นของไทยเราด้วย เพราะสินค้าพวกที่สหรัฐผลิตมาก เช่น พวกยุทธภัณฑ์ สินค้าเทคโนโลยี นั้นมีมูลค่าสูง และทุกวันนี้ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากขึ้น ซึ่งต้องมองว่าหากมองในเรื่องความต่อเนื่องของห่วงโซ่การผลิตที่ไทยจะได้ประโยชน์ต่อเนื่องด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าเราไปเน้นในเรื่องยุทธภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อสต๊อกไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้งานจริง ก็คิดว่าควรนำเงินส่วนนั้นมาเพิ่มศักยภาพในประเทศของเราจะดีกว่า

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.