คับแค้น ทางใจ ผสาน ยากไร้ ทางวัตถุ สู่ การลุกขึ้น‘สู้’
ยุทธนิยาย “สามก๊ก” จากการเรียบเรียงของหลอกว้านจงอาจให้น้ำหนักแห่งความเดือดร้อนของราษฎรมาจาก 1 ฮ่องเต้ 1 เหล่าขันทีที่เข้าไปมีบทบาทเป็นอย่างสูงอยู่ในราชสำนัก ผ่านทั้งไทเฮา ฮองเฮา และฮ่องเต้
“แลพระเจ้าเลนเต้นั้นเชื่อถือถ้อยคำเตียวเหยียงเรียกเป็นบิดาเลี้ยง ราชการกฎหมายแผ่นดินก็ผันแปร อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้รับความเดือดร้อน
เกิดโจรผู้ร้าย ปล้นสะดมเป็นอันมาก”
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ระบุผลสะเทือนจาก “วิกฤตปัญญาชน” ครั้งที่ 2 ซึ่งยืดเยื้อยาวนานกว่า 20 ปี ได้สั่นคลอนราชสำนักอย่างรุนแรง
“ตำแหน่งขุนนางสำคัญถูกจัดสรรให้กับพรรคพวกของขันที ฮั่นตะวันออกสูญเสียขุนนางตงฉินเข้าสู่ยุคมืดที่นับวันมีแต่ถดถอยเสื่อมโทรม สารพัดปัญหารุมเร้าบ้านเมือง”
ประชาชนทุกข์ยาก ถูกบีบคั้นจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจจึงถูกปลุกระดมเข้าร่วมกลุ่ม “กบฏโพกผ้าเหลือง จับอาวุธก่อจลาจล”
นั่นคือ รากที่มาของ “กบฏชาวนา” ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
เมื่ออ่าน “ประวัติศาสตร์จีน” ของ ทวีป วรดิลก ก็ได้ภาพที่สมบูรณ์และรอบด้านมากยิ่งขึ้นก่อนและหลังการลุกขึ้นสู้ของ “กบฏโพกผ้าเหลือง”
โดยเริ่มตั้งแต่รัชสมัยอานตี้ (ค.ศ.106-129)
ได้มีเหตุร้าย คือ การก่อความไม่สงบขึ้นอันเนื่องมาจากความอดอยากยากจนอย่างแสนสาหัสของชาวนามาโดยตลอดจนกระทั่งถึงรัชสมัยของหลิงตี้
ประมาณว่า ในชั่วเวลา 70-80 ปี มีการก่อความไม่สงบของชาวนาอุบัติขึ้นถึงกว่า 100 ครั้ง แต่ละครั้งจำนวนชาวนาที่ลุกฮือขึ้นมีตั้งแต่ 200-300 คน จนถึง 2,000-3,000 คน
แต่ในบางครั้งมีถึง 10,000 คนทีเดียว
แม้แต่ชาวเฉียงที่เป็นชนชาติส่วนน้อยทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือตลอดจนชนเผ่าต่างๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ก็จับอาวุธต่อต้านการกดขี่ของทางการบ้านเมืองกัน และการต่อต้านนี้ก็มีอยู่เป็นประจำไม่มีวันยุติ
ในที่สุดการลุกฮือขึ้นของชาวนาก็มาถึงขั้นสุดยอดด้วยการก่อการกบฏจำนวนมากเป็นแสนๆ คนในปี ค.ศ.184
ที่เรียกกันว่า “กบฏโพกผ้าเหลือง” หรือ “หวงจิน”
โดยที่กบฏพวกนี้ซึ่งมีจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนได้จับอาวุธบุกเข้าเข่นฆ่าขุนนางตามเขตปกครองต่างๆ เสียมากมาย จนอาจกล่าวได้ว่า กบฏโพกผ้าเหลืองเป็นพลังสำคัญในการโยกคลอนราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจนถึงรากฐาน
ยังผลให้อาณาจักรใหญ่ยิ่งต้องแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าอยู่หลายร้อยปีในภายหลัง
นอกจากความไม่พอใจต่อการปกครองของฮ่องเต้ที่ถูกควบคุมโดยขันทีแล้ว ทวีป วรดิลก ยังนำเสนอ “ข้อมูล” ในลักษณะพิเศษออกไป
นั่นก็คือ
นับแต่ปี ค.ศ.170 เป็นต้นมา ได้เกิดอุทกภัยตามบริเวณตอนล่างของแม่น้ำเหลืองซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม
ทำให้ชาวนาที่ต้องอดอยากยากจนอยู่แล้วต้องปราศจากที่ทำกิน ต้องอพยพหนีความอดตายออกร่อนเร่ไปเป็นจำนวนมาก พวกชาวนาเหล่านี้ระเหเร่ร่อนกันไปเป็นหมู่เหล่า
เป็นที่พรั่นพรึงแก่ผู้พบเห็น
ในเมื่อปรากฏการณ์ทางสังคมเป็นเช่นนี้ย่อมบ่อนทำลายความสงบสุขโดยทั่วไปในหลายๆ ท้องที่ด้วย
เนื่องจากภายหลังอุทกภัยแล้วได้เกิดโรคระบาดมีผู้เสียชีวิตกันเป็นจำนวนมากตามมาอีก โดยเฉพาะตามบริเวณพรมแดนของซานตงและเหอหนานได้มีผู้มีความรู้ในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านโดยทั่วไป
การณ์ดำเนินไปอย่างที่ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ตั้งข้อสังเกต
เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคเสื่อม ราชสำนักตั้งแต่ฮ่องเต้ลงมาจนถึงขุนนางท้องถิ่นจ้องแต่ขูดรีดกอบโกยทรัพย์สินจากราษฎรซึ่งมีชีวิตรันทดไม่ต่างจากโคกระบือ
ทำงานเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง
จนมีบันทึกไว้ว่า ชาวบ้านขาดแคลนอาหารถึงกับต้องกินเนื้อคนด้วยกัน ชาวบ้านผู้ไม่ยอมทนทุกข์ต่อโชคชะตาหันมาจับอาวุธต่อสู้กับทางการ
“กบฏโพกผ้าเหลือง” จึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
หากประมวลสาเหตุอันเป็นมูลเชื้อนำไปสู่ “กลียุค” ครั้งใหญ่ทั้งในทางการเมือง การ ทหารและในทางสังคมอย่างที่เรียกว่ายุค “สามก๊ก” ได้ปรากฏสัญญาณเตือนให้เห็นเป็นระยะ
ที่สำคัญเป็นอย่างมากย่อมเป็นไปอย่างที่ สังข์ พัธโนทัย สรุป “หลักบ้าน หลักเมือง คลอนแคลน”
หลักเมือง 1 ซึ่งเห็นอย่างเด่นชัด คือ การเล่นพวกพ้อง ก่อตั้งเป็น “กลุ่ม”
หลักเมือง 1 ซึ่งเห็นอย่างเด่นชัดตามมา คือ การทุจริต คอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง
โดยเฉพาะผลสะเทือนจาก “แก๊งสิบคน” ของเหล่าขันที
ดังที่ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประมวลสรุปมาให้เห็นในเรื่องการกอบโกยหาเงินหาประโยชน์อย่างฉ้อฉล
เปิดให้ซื้อขายตำแหน่ง “ขุนนาง” ในราชสำนักอย่างเป็นทางการ โดยขุนนางระดับมณฑลราคา 20 ล้านตำลึง ระดับอำเภอถูกหน่อย 4 ล้านตำลึง ส่วนพวกที่ต้องการเลื่อนตำแหน่งก็จ่ายเพียง 1 ใน 3 ของราคากลาง
ครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยต้องชำระเงินล่วงหน้า จ่ายหลังรับตำแหน่งก็ได้แต่ต้องจ่ายเป็น 2 เท่า
ส่วนตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ให้ติดต่อผ่านคนสนิทใช้วิธีประมูล
โดยทั่วไปตำแหน่งยิ่งไกลจากส่วนกลางจะยิ่งมีราคาสูงเพราะถูกขูดรีด ถอนทุนคืนเอาจากราษฎรได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาไม่มีกฎตายตัวขึ้นอยู่กับความพอใจของฮ่องเต้
อย่างเช่นโจชง บิดาของโจโฉ เนื่องจากมีฐานะร่ำรวยเป็นถึงบุตรบุญธรรมของขันทีโจเทิงจึงต้องจ่ายค่าตำแหน่งแม่ทัพภาคเป็นเงินถึง 100 ล้านตำลึง
สูงกว่าราคาตลาดถึง 10 เท่า
นานวันเข้าการซื้อขายตำแหน่งก็กลายเป็นธรรมเนียมในการโยกย้ายแต่งตั้งไป ความเดือดร้อนตกไปอยู่กับชาวบ้าน ตาสีตาสาที่ต้องถูกถอนขนห่านจากขุนนางเถื่อนเหล่านี้
บางครั้งเปลี่ยนเจ้าเมืองเดือนละหลายคนจนชาวบ้านแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
และเมื่อถึงขีดสุดของความอดทน จึงปะทุกลายเป็นการก่อกบฏต่อต้านราชสำนักในที่สุด
ทุกอย่างจึงดำเนินไปเหมือนที่ สายฝน รุ่งประเสริฐ วรรณสินธพ และ สุรภาพร รังสีอุทัย แห่งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เรียบเรียงเป็นหนังสือ “ประวัติศาสตร์จีน ยุคราชวงศ์”
ฮั่นหลิงตี้ (เลนเต้) เชื่อขันทีมากชนิดหน้ามืดตามัว รู้จักแต่กินดื่มหาความสำราญจนเงินในท้องพระคลังไม่พอใจ
จึงหาวิธีขูดรีด โดยใช้ซีหยวน (อุทยานตะวันตก) เป็นที่ซื้อยศซื้อตำแหน่งขุนนาง
ทั้งยังมีการติดประกาศราคาขายตำแหน่งขุนนางที่หน้าสำนักศึกษาหงตูเหมิน ตำแหน่งผู้ว่าราชการขายในราคา 20 ล้าน ตำแหน่งนายอำเภอราคา 4 ล้าน
ไม่มีเงินจ่ายให้ติดไว้ก่อนได้ แต่พอรับตำแหน่งแล้วต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าตัว
ดังนั้น ข้าราชการที่ซื้อตำแหน่งเหล่านี้ก็ยิ่งต้องไปขูดรีดเอาจากประชาชนทำให้ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเข้าสู่ยุคตกต่ำสุดๆ
ความเสื่อมโทรมของราชสำนัก การรีดนาทาเร้นของเจ้าของที่ดิน
บวกกับภัยแล้งครั้งแล้วครั้งเล่า บีบให้ชาวบ้านตาดำๆ ทนต่อไปไม่ไหวจึงรวมตัวกันขึ้นต่อต้าน
คับแค้นทาง “ใจ” ยากไร้ทาง “วัตถุ”