ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือโต 2.4% จากเดิม 2.8% เหตุความไม่แน่นอนของสงครามการค้า-แผ่นดินไหว คาด กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมเดือนเมษายนนี้ และลดอีกครั้งในไตรมาส 3/68 สิ้นปีเหลือทั้งปี 1.50% ต่อปี
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ 2.8% และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมเดือนเมษายนนี้
“ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับธนาคารกลางทุกแห่ง เราได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.8% เนื่องจากปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการบริโภค การท่องเที่ยว และตลาดอสังหาริมทรัพย์” ดร.ทิม กล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารมีมุมมองระมัดระวังต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยไปจนถึงเดือนกันยายน โดยเราคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหลังจากนั้นเนื่องจากเข้าสู่ช่วงเริ่มฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนตุลาคม ทั้งนี้เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.6% ในครึ่งปีแรกและเติบโต 2.2% ในครึ่งปีหลังของปีนี้
นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปมาอยู่ที่ 0.8% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.3%
“เราคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธปท. ที่ตั้งไว้ที่ 1-3% ไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากฐานเดิมที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในภาคการบริโภค โดยเราคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไว้ที่ 0.9% สำหรับปี 2568” ดร.ทิม กล่าว
ธนาคารคาดว่า กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมเดือนเมษายนนี้ หลังจากนั้นจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน และลดดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาส 3 ทำให้ทั้งปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.5% ในสิ้นปี 2568 สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจของธนาคาร อย่างไรก็ตาม กนง.อาจจะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด เนื่องจาก ธปท. ไม่ได้ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาลงอย่างชัดเจน
ส่วนค่าเงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 35.0 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่เกือบ 33.0 บาทต่อดอลลาร์ ตามค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงทั่วโลก ประกอบกับราคาทองคำที่ยังคงทำระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าค่าเงินบาทอาจจะกลับไปผันผวนอีกและอ่อนค่าลงในช่วงกลางปี เนื่องจากไตรมาส 2 เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้า” ดร.ทิมกล่าว