อันวาร์ ปลื้ม ทักษิณ ช่วยอาเซียน-ชูสร้างสันติภาพ แถลงผลถก มิน อ่อง ลาย – เอ็นยูจี
เมื่อวันที่ 18 เมษายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แถลงข่าวที่กรุงเทพฯ ถึงผลการหารือร่วมกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน และรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) รัฐบาลเงาของเมียนมา
โดยนายอันวาร์ เปิดเผยว่า ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา และ NUG ได้ส่งสัญญาณว่าจะขยายระยะเวลาการหยุดยิงออกไป เพื่อเปิดทางให้ส่งความช่วยเหลือให้เมียนมามากขึ้น หลังเมียนมาเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารเมียนมาได้ประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 20 วัน เมื่อวันที่ 2 เมษายน หลัง NUG ประกาศการหยุดยิงเช่นกัน หลังเมียนมาได้รับความเสียหายหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเมียนมาไปแล้วมากกว่า 3,700 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 5,100 คน ส่งผลกระทบต่อชาวเมียนมาอีกจำนวนมาก หลังเมียนมาเผชิญกับสงครามกลางเมือง
นายอันวาร์กล่าวอีกว่า จะมีการหยุดยิง และไม่มีการยั่วยุโดยไม่จำเป็นจากทั้ง 2 ฝ่าย เพราะไม่อย่างนั้น ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมดจะล้มเหลว และการหารือแลกเปลี่ยนระหว่างเขากับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย และ NUG ถือว่าได้ผลตอบรับดี โดยเขาเรียกร้องกับมิน อ่อง ลายให้ยุติความขัดแย้งในเมียนมา เพื่อเป็นการสนับสนุนการมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สิ่งที่จะให้ความสำคัญสูงสุดคือความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมียนมาจะต้องหยุดยิง เพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าถึงเมียนมาทั้งหมด และต้องรับรองความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จุดยืนของอาเซียนคือเราต้องมีส่วนร่วมมากขึ้นในความพยายามให้เมียนมายอมตกลงในพื้นฐานในฉันทามติ 5 ข้อ
“การใช้ประสบการณ์ และเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย มีส่วนช่วยเสริมจุดยืนของอาเซียน” นายอันวาร์กล่าว
นายอันวาร์ ยังได้โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าได้หารือกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไทย ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ระบุว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 17 เมษายน ที่กรุงเทพฯ ตนได้ประชุมกับคณะที่ปรึกษาของประธานอาเซียน โดยมีนายทักษิณ เป็นประธาน การหารือในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค รวมถึง การระดมความคิดหาแนวทางที่จะให้เกิดสันติภาพในเมียนมา เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประชาชนในประเทศอย่างยั่งยืน