ไม่ว่าทรัมป์จะถูกมองว่าเป็นเจ้าแห่งการต่อรองที่เก่งกาจเพียงใดก็ตาม แต่ “กีเดียน แรคแมน” แห่งไฟแนนเชียล ไทมส์ เขียนวิเคราะห์ไว้ว่า ทรัมป์กำลังเสียเปรียบจีนในสงครามการค้าที่ถูกยกระดับด้วยกำแพงภาษี แม้ทรัมป์จะรู้สึกว่าตนถือไพ่เหนือกว่าก็ตาม
เนื่องจากทรัมป์มองว่า จีนพึ่งพาการส่งออกมายังสหรัฐ มากกว่าที่สหรัฐพึ่งพาการส่งออกไปยังจีน ซึ่งหากอิงจากคำพูดของ “สก๊อต เบสเซ็นต์” รัฐมนตรีคลังสหรัฐที่กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกของสหรัฐไปจีนถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการส่งออกของจีนมายังสหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกไปยังจีนของสหรัฐคิดเป็น 20% เมื่อเทียบกับมูลค่าที่จีนส่งออกมายังสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แรคแมนชี้ว่า นี่เป็นสมมุติฐานที่ผิดพลาด เพราะการที่จีนส่งออกมายังสหรัฐมากกว่า ไม่ได้เป็นจุดอ่อน แต่กลับเป็นจุดแข็ง เนื่องจากราคาสินค้าต่าง ๆ จะแพงขึ้น และทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องเผชิญความยากลำบาก
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ทรัมป์ต้องลำบากใจกว่าเดิมคือ ทรัมป์เพิ่งจะตระหนักได้ว่า ผู้ที่ต้องแบกรับภาษีนั้นไม่ใช่ผู้ส่งออก แต่เป็นผู้นำเข้าชาวอเมริกัน จากกรณีราคาไอโฟน (iPhone) ที่จะแพงขึ้นอย่างมาก เพราะชิ้นส่วนกว่า 80% ของไอโฟนถูกผลิตขึ้นในจีน ทั้งที่จำนวนไอโฟนมากกว่าครึ่งถูกส่งขายไปยังสหรัฐ
ไม่เพียงเท่านั้น แรคแมน ตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐจะรับมือกับอากาศในช่วงหน้าร้อนอย่างไร เพราะราว 80% ของจำนวนเครื่องปรับอากาศทั่วโลกก็ถูกผลิตขึ้นในจีน ขณะที่เครื่องปรับอากาศราว 75% ของสหรัฐมาจากการนำเข้า ส่วนเทศกาลคริสต์มาสในช่วงหน้าหนาว 75% ของตุ๊กตาและจักรยานในสหรัฐก็ถูกนำเข้ามาจากจีน
แม้สุดท้ายแล้ว สหรัฐจะสามารถตั้งโรงงานผลิตสินค้าทั้งหมดที่ว่ามาไว้ในประเทศได้ ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ดี แถมราคาสินค้าที่ได้ก็จะแพงขึ้นไม่ต่างกัน
ภายใต้เงื่อนไขนี้ แรคแมนชี้ว่า จีนสามารถใช้โอกาสนี้ถ่วงเวลาได้ และทำให้สหรัฐลำบากเสียเอง เนื่องจากอเมริกาต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีนอย่างมากในการผลิตเครื่องบินเอฟ-35 รุ่นสำคัญของกองทัพอากาศสหรัฐ นอกจากนี้ จีนยังถือพันธบัตรสหรัฐมากสุดเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดการเงินสหรัฐได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดอยู่ในสภาวะตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ทรัมป์สามารถขึ้นกำแพงภาษีในหมวดหมู่สินค้าที่ไม่ทำให้ชาวอเมริกันต้องเจ็บตัว โดย “ยอร์ก วุตต์เก” อดีตประธานหอการค้ายุโรปในประเทศจีน มองว่าตลาดสหรัฐก็เล็กเกินกว่าที่จะส่งผลใด ๆ ต่อจีนอยู่ดี แม้จะก่อให้เกิดอุปสรรค แต่การส่งออกไปยังสหรัฐคิดเป็น 14% ในการส่งออกทั้งหมดของจีน
ขณะที่สหรัฐคอยย้ำอยู่เสมอว่าจีนต้องเป็นฝ่ายเข้ามาเจรจากับทางสหรัฐก่อน แต่แรคแมนกลับชี้ว่า จีนไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเจรจา และไม่มีทางแม้แต่ที่จะร้องขอความเมตตาให้ผ่อนคลายมาตรการภาษีดังที่สหรัฐคาดหวังแม้แต่น้อย
ที่สำคัญ “สี จิ้นผิง” ยังมีข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่ง คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนปกครองอย่างเข้มงวดด้วยระบอบเผด็จการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องคอยรักษาคะแนนนิยมทางการเมือง หากเกิดความวุ่นวายในภาคเศรษฐกิจ ดังที่แสดงให้เห็นแล้วในการจัดการปัญหาโควิด-19 ด้วยแนวทางสุดโต่งอย่าง “ซีโรโควิด”
แรคแมนมองว่า จีนมีการเตรียมตัวเผชิญหน้าสงครามการค้ามานานแล้ว และคิดหาทางรับมือมาก่อนแล้วหลายทาง ขณะที่สหรัฐต้องคอยคิดหากลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทรัมป์จะไม่เหลือไพ่ในมือไว้สู้อีกต่อไป จนต้องหมอบยอมแพ้ในที่สุด