‘เอเซีย พลัส’ ชี้เป้าลงทุน ‘หุ้น-ทอง-บอนด์’ ยุคทรัมป์ 2.0
SUB_BUA April 25, 2025 11:40 AM

เรียกได้ว่า ฉีกทุกตำราเศรษฐศาสตร์ สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจการค้าของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะนึกอยากจะขึ้นภาษีใครก็ขึ้น อยากลดก็ลด จนสร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก โดยเฉพาะกับตลาดเงิน ตลาดทุน ซึ่งเป้าหมายใหญ่คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งทางการค้ากับจีน แม้ล่าสุดจะส่งสัญญาณผ่อนปรนขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อตกลงที่ออกมาชัดเจน

“ทรัมป์” ฉุดเศรษฐกิจไทย-โลก

“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐรุนแรงเป็นประวัติการณ์หลังตอบโต้กันไปมาผ่านการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ซึ่งเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีแรก ทำให้ตลาดมองความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐสูงขึ้น

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

ผลสำรวจจาก CEO ในสหรัฐมีการคาดการณ์ว่า จะเกิดขึ้นใน 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจกดดันให้เศรษฐกิจโลกโตต่ำกว่า 3% และกดดันเศรษฐกิจไทยมีโอกาสต่ำกว่า 2% จากการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในตลาดสินค้าโลก ซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกไทยโดยตรงและการลงทุนทางตรงของต่างชาติที่มีความไม่แน่นอนสูง กดดันให้มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีแนวโน้มลดลง

SET 1,060 จุด น่าจะเอาอยู่

จากปัจจัยดังกล่าว การลงทุนจึงต้องมีความรอบคอบมากขึ้น ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ยังเชื่อว่าดัชนี SET จะไม่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่เคยทำไว้ โดยประเมินแนวรับสำคัญของดัชนีที่ระดับ 1,060 จุด น่าจะเอาอยู่ ส่วนเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 2568 แบบอนุรักษนิยม ภายใต้ประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ที่ 89 บาทต่อหุ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% และส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้น (MEYG) ที่ 4.5% (+1 SD) จะได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 1,424 จุด

โฟกัสหุ้นปันผลสูง-กำไรโต

“เทิดศักดิ์” กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์มองว่ามีความแข็งแกร่ง มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (High Dividend Yield) และมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี ในปี 2568-2569 ได้แก่ SCC, CPALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP และ BBL

ชี้ควรมีทองคำติดพอร์ต 5%

“เทิดศักดิ์” กล่าวด้วยว่า ขณะที่ทองคำมีแรงขับเคลื่อนค่อนข้างสูง จากกระแสที่นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย หลังกังวลในเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม มองว่าต้องมีการเพิ่มความระมัดระวังที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หากจะเข้าไปลงทุนต้องมีการติดตามข้อมูลต่อเนื่อง มีวินัยในการทำกำไรที่ชัดเจน

“ราคาทองคำขึ้นสูงและค่อนข้างแพง ความเสี่ยงสูงขึ้น แต่กระแสของการปรับลดลงก็ยังมีอยู่ ถ้าอยากเข้าไปลงทุน ต้องมอนิเตอร์ใกล้ชิด รักษาวินัย มีกรอบในการ Take-profit และ Cut Loss ที่ชัดเจน โดยแนะนำให้มีประมาณ 5% ของพอร์ต”

ต่างประเทศเน้นหุ้นพื้นฐานดี

ขณะที่ “ธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐมีความผันผวนสูง จึงแนะนำการลงทุนที่เน้นหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ตอย่าง กลุ่ม Domestic, Defensive, Dividend อาทิ China Mobile, Coca-Cola, Costco, Eli Lilly, Fast Retailing, Giant Biogene, Gree, Electric, Midea, Netflix, Tingyi, Walmart, Sea Limited

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจลุกลามไปนอกเหนือจากภาษีทางด้านการค้า ความเสี่ยงหนี้สาธารณะชนเพดานของสหรัฐ รวมทั้งแผนปรับลดภาษีของสหรัฐ

“เป้าหมายดัชนี S&P500 ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าและความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย โดยในปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมากกว่า 20% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1990 ที่ดัชนีมีการปรับตัวลงตั้งแต่ 10% ขึ้นไป แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและปรับตัวลงอยู่ในช่วงกรอบบนของภาวะตลาดหมีในอดีต”

แนะนำเลือกลงทุนบอนด์

ด้าน “ลัพธ์พร ปานะกุล” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้น เพื่อนำเงินพักในตลาดตราสารหนี้สูงขึ้น โดยในช่วงต้นเดือน เม.ย. ถึงวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา สถิติต่างชาติเข้าซื้อตลาดตราสารหนี้ มูลค่าสูงถึง 57,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้ามาในตลาดตราหนี้ไทยอายุยาวมากกว่า 1 ปี ประมาณ 30,000 ล้านบาท และกระจายไปตราสารหนี้อายุสั้นประมาณ 27,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 10,297 ล้านบาท

“ถามว่าจะอยู่นานไหน ต้องติดตามต่อว่าจะมีการเข้ามาเพิ่มมากขึ้น หรือจะเป็นการทยอยขายออกไป แต่คาดการณ์ว่าเป็นการหนีมาพักจริง ซึ่งอาจมาจากตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากค่าเงินบาทไม่ได้เหวี่ยงแรงมากนัก ซึ่งหากมีสัญญาณดีในส่วนของตลาดหุ้น อาจจะมีการขายบอนด์ทิ้งได้ อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังไม่ได้ผิดปกติมากนัก เนื่องจากในอดีตเคยมีเข้ามาสูงมากกว่านี้ แต่ก็สะท้อนว่ามีการเข้ามาซื้อเพียงช่วงเดือน เม.ย. มีมากกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถึง 5 เท่า”

“ลัพธ์พร” กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน และมีความเสี่ยงที่มากมาย ทำให้ Yield ระยะสั้นโงหัวไม่ขึ้นตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 1.50-1.75%

“จึงแนะนำ Selective Buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าต้องการ Trading แนะให้ซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ อายุไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าต้องการซื้อเพื่อถือ แนะให้ซื้อ Perpetual Bonds หรือหุ้นกู้ที่อันดับเครดิตสูง ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม, การแพทย์, ธุรกิจการเกษตร เป็นต้น”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.