สวนดุสิตโพล เปิดผลสำรวจ ดัชนีการเมืองไทย เม.ย. ความเชื่อมั่นดิ่งทุกด้าน
เมื่อวันที่ 30 เมษายน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนเมษายน 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,208 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 25-29 เมษายน 2568 โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็นที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละตัวชี้วัดจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน สรุปผลเรียงลำดับจาก ค่าคะแนนสูงสุดไปถึงต่ำสุด ได้ดังนี้
1.“ดัชนีการเมืองไทย” เดือนเมษายน 2568 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 4.82 คะแนน (เดือนมีนาคม 2568 ได้ 4.95 คะแนน)
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า สถานการณ์การเมืองไทยเดือนเมษายนแม้ภายนอกจะมีความ ชุ่มฉ่ำของเทศกาลสงกรานต์ แต่ในแวดวงการเมืองกลับร้อนระอุไม่แพ้แสงแดดของเดือนเมษา ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วม เพื่อไทย-ภูมิใจไทย ที่ยังไม่แน่นอนจนมีเสียงว่าอาจมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงการที่รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหาเรื่องภัยพิบัติ แต่การตรวจสอบตึกถล่มกลับเป็นไปด้วยคำถามของทั้งฝ่ายค้านและประชาชน สะท้อนได้จากผลคะแนนของฝ่ายรัฐบาลที่ลงไป อยู่ อันดับ 15 จาก 25 ดัชนี นอกจากนี้คะแนนผลงานนายกรัฐมนตรีก็ลงไปอยู่อันดับ 10 ด้วยคะแนน 4.91 ไม่ผ่านครึ่งเป็น ครั้งแรกของนายกฯแพทองธาร
ดร.มุทิตา มากวิจิตร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายปกครองและการบริหารงาน ภาครัฐ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากผลสำรวจดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า คะแนนภาพรวมลดน้อยลงจากเดือนก่อนหน้านี้ในทุกๆด้านอย่างชัดเจน สะท้อนถึงความกังวลของประชาชน ที่เพิ่มขึ้นต่อภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสภาพ เศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งถือว่ายังเป็นจุดอ่อนสำคัญของรัฐบาลที่ยังไม่สามารถดำเนินการตามความคาดหวังของประชาชน
รวมทั้งประเด็นสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจและคาดหวังให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ก็คือการตรวจสอบความโปร่งใส ในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ และติดตามตรวจสอบเรื่องอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม ซึ่งสะท้อนให้เห็น ถึงความต้องการของประชาชนในเรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ควบคู่กับความต้องการให้รัฐบาล ส่งเสริมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนโดยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเสริมสร้างให้ ประชาชนมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง