‘พิชัย’ เชื่อ ศก.ไทยตกหลุมอากาศไม่เกิน 6 เดือน มุ่งดึงลงทุนทดแทนส่งออก ย้ำการเงิน-การคลังแข็งแกร่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงานในงานครบรอบ 150 ปีกระทรวงการคลัง “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ เศรษฐกิจไทยภายใต้จุดเปลี่ยนว่า เศรษฐกิจประเทศไทยและทั่วโลกจะตกอยู่ในหลุมอากาศชั่วคราว หรือราว 6 เดือน ผลจากนโยบายการตอบโต้มาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา

“ขณะนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดจากนโยบายภาษีของทรัมป์ เป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกประเทศ แต่เราเชื่อว่าโลกจะเข้าสู่ภาวะที่อยู่ร่วมกันได้ แต่ในช่วงแรกจะสร้างเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่ตกหลุมอากาศชั่วคราว และยังต้องประเมินต่อไปในระยะข้างหน้า” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ดังนั้น แนวทางแก้ไขคือจะต้องทำให้การค้าเข้าสู่จุดสมดุลให้มากที่สุด โดยไทยจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะต้องส่งออกไปให้มากขึ้นด้วย โดยสินค้าที่เราต้องการจากสหรัฐคือสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดและปลา เพื่อนำเข้ามาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์เพื่อส่งออก นอกจากนี้ เรายังต้องการสินค้าพลังงานจากสหรัฐเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ราคานำเข้าสินค้าจากสหรัฐต้องอยู่ในระดับแข่งขันได้

นายพิชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน รัฐบาลต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และทำให้เกิดการลงทุนให้มากขึ้น โดยการลงทุนจากต่างชาติจะต้องเป็นการลงทุนที่เทคโนโลยีขั้นสูง และสร้างซัพพลายเชนของคนไทยเข้าร่วมด้วย หมายความว่า เราจะเลือกการลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น

นายพิชัยกล่าวว่า ในส่วนการลงทุนของภาครัฐนั้น เราจะใช้เงินมาลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ซึ่งขณะนี้เรากำลังหยิบมาดู เพื่อพิจารณาโครงการลงทุนตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ในส่วนของเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นั้น ยังอยู่ในแนวคิดของรัฐบาลที่จะลงทุน เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ

“ด้วยแนวทางที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้ ผมยังเชื่อว่าจีดีพีของไทยจะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 3% ในปีนี้ ถือว่าอยู่ในเส้นทางเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงนี้อาจจะสะดุดไปบ้าง แต่เชื่อว่าโลกจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามาถปรับความเข้าใจกันได้” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ ขอขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.25% แต่ขอให้การปรับลดอกเบี้ยลงครั้งนี้จะนำไปใช้เพื่อการลงทุน ส่วนของตลาดทุนเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุด เข้าง่าย ออกง่าย มีการขึ้นลงของดัชนีหุ้น แต่ก็เป็นที่น่าแปลกว่าช่วงเงินทุนไหลออก ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ใกล้ 1,100 จุด แต่หลายประเทศเม็ดเงินไหลออกกมากกว่าไทนมาก แสดงว่าเราอ่อนไหวน้อยกว่า และเป็นที่น่าแปลกว่าหลังจากที่ไทยมีจุดยืน ทำให้ดัชนีกลับมายืนอยู่ใกล้ 1,200 จุด เพราะมีพื้นฐานการเงินประเทศที่ยังแข็งแรง แต่มีจุดเดียวเท่านั้นที่ต้องปรับแก้คือหนี้สาธารณะสูง ซึ่งต้องปรับให้สมดุลให้ได้