หนุ่ม กรรชัย เผยเหตุฟ้องนักร้องสาว ยินดีหากได้พูดคุยก่อนขึ้นศาล พร้อมเคลียร์ปมดราม่าวีนทีมงาน
GH News May 09, 2025 11:00 PM

หนุ่ม กรรชัย เผยเหตุฟ้องนักร้องสาว ยินดีหากได้พูดคุยก่อนขึ้นศาล พร้อมเคลียร์ปมดราม่าวีนทีมงาน

หลังจากที่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ได้ยื่นฟ้องนักร้องสาวท่านหนึ่ง ในข้อหาหมิ่นประมาท ล่าสุดหนุ่ม กรรชัย มาร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Neobun ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ จากนั้นก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีฟ้องนักร้องสาว พร้อมตอบประเด็นดราม่าวีนทีมงานโหนกระแสว่า

ทำไมพี่หนุ่มถึงตัดสินใจฟ้องเขา?
“คือถ้าเกิดว่าตามดูตัวพี่จริงๆ พี่เป็นคนที่ไม่ค่อยอยากจะไปฟ้องร้องใครหรือไปอะไรกับใคร โดยเฉพาะคนในวงการด้วยกัน จริงๆ แล้วพี่ก็ไม่อยากไปยุ่ง ไม่อยากจะไปฟ้อง ไม่อยากจะไปมีปัญหาอะไรด้วย เพราะว่าก็เข้าใจในบริบทของการทำงานหรือความเข้าใจผิดกันได้ จริงๆ แล้วพอมาเป็นอันนี้พี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบางเรื่องที่มันดูไม่เหมาะ ดูไม่ควร และดูเป็นเรื่องของการเข้าใจในบางเรื่องไปเอง แล้วพี่เองก็พยายามชี้แจง พยายามพูดไปแล้วหลายครั้งแต่มันก็ไม่จบสักที พี่ก็เลยรู้สึกว่าพี่ควรจะต้องมีใครสักคนหนึ่งที่มาเป็นคนกลางในการบอกว่าจะต้องเอายังไงกันต่อไป พี่ก็คิดว่าน่าจะเป็นศาลน่าจะดีที่สุด”

แต่จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีการคุยกับคนดูแลงานเขา?
“ใช่ครับ แต่ก็อย่างว่าก็คือพี่ก็ไม่รู้ว่า เมจเสจที่เราส่งไปและคำพูดของเรา การสื่อสารเนี่ยมันจะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งยังไง แต่เจตนาเราไม่มีเจตนาร้ายตั้งแต่แรก เพราะว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว และก็ไม่ได้พูดถึงบุคคลอีกบุคคลหนึ่งอยู่แล้ว แต่เขากลับมาคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าอันนี้ตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ 1. มันไม่ได้มีการขอโทษ 2. พี่ไม่ได้มีการไปบังคับขู่เข็ญใครให้ไปทำอะไรแบบไหนหรือไปข่มขู่ใครทำแบบไหน ซึ่งพี่ว่าคำพูดเหล่านี้มันดูเป็นการกล่าวหาพี่ไปนิดนึง”

จุดไหนที่รู้สึกว่ามันต้องฟ้อง?
“จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันคุยกันได้หมดเพราะว่าตัวพี่เองก็เป็นคนชอบไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว ถ้าสังเกตได้จากในรายการพี่ก็พยายามที่จะให้คนได้ไกล่เกลี่ยกัน เพราะว่าทุกวันนี้เอาตรงๆ ศาลท่านเหนื่อยมากแล้วแหละ คือท่านก็มีคดีเยอะแยะมากมาย ปัญหาแบบขี้หมูราขี้หมาแห้ง พี่ว่าถ้ามันจบกันได้ก็จบกันไป แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจากคนที่พยายามไกล่เกลี่ยในรายการกลับกลายเป็นตัวเองต้องเอาเรื่องไปให้ศาลท่านเหนื่อย แต่มันก็หลีกไม่ได้ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไง”

จากที่ฟ้องไปเขาได้ติดต่อกลับมาพูดคุยกันไหม?
“ไม่ครับ เราก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกัน ก็คงไปพูดกันตามกระบวนการ เดี๋ยวก็ต้องไปดูที่ศาล ท่านก็อาจจะมีการเรียกไปไกล่เกลี่ย ไปคุยอะไรกันก็ว่าไปตามนั้น เดี๋ยวไปดูว่าอะไรยังไง แต่ถ้าเกิดว่ามันจบกันไม่ได้ก็ว่าไปตามกระบวนการเท่านั้น”

ถ้าเกิดคุยกันหลังไมค์หลังจากนี้เขาขอติดต่อเจรจาได้ไหม?
“คือตัวพี่ด้วยอายุของพี่เองพี่ก็ถือว่าพี่เป็นรุ่นพี่ เพราะฉะนั้นอันไหนที่รุ่นน้องอยากจะคุยกับพี่พี่ก็ยินดี เพราะว่าพี่เองก็ไม่ใช่คนที่จะไม่มีเหตุผล คือเรื่องพวกนี้มันคุยกันได้หมดมันเป็นเรื่องอย่างที่บอกเป็นเรื่องที่มันไม่ได้มีอะไรเลย เพียงแต่ว่ามันอาจจะต้องมาคุยกัน มาปรับความเข้าใจกัน มาดูข้อเท็จจริงกันเท่านั้นเอง คือไม่ได้มีอะไรเลย”

อันนี้ฟ้องในกรณีหมิ่นประมาทใช่ไหม?
“ครับ (แล้วเขาได้ฟ้องกลับไหม?) ก็เป็นสิทธิ์ของเขา”

แสดงว่าในกระบวนการถ้าศาลให้ไกล่เกลี่ยเราก็สามารถทำได้?
“ก็ทำได้ คือคดีนี้พี่ว่าเป็นคดีที่ไกล่เกลี่ยกันได้ พูดคุยกันได้ หรือถ้าเกิดคิดว่าจะไม่ไกล่เกลี่ยก็ไปต่อได้ ก็ไปดูให้มันสุดทางว่าจะเป็นยังไง เพียงแต่ว่าพี่แค่รู้สึกว่าพี่ก็ปกป้องสิทธิ์ของพี่ในคำพูดบางคำ เพราะเวลาไปขึ้นศาลมันไม่ได้หมายความว่าเอาเรื่องราวทั้งหมด บริบททั้งหมดมารวมกันนะ มันเป็นคำพูดบางคำ หรือว่ามันเป็นการหมิ่นประมาท หรือกล่าวหาเราหรือเปล่า หรือละเมิดเราหรือเปล่าเท่านั้นเอง (อันนี้คือคำพูดที่เขาโพสต์ ไม่ได้มาจากแชต?) คำพูดที่เขาโพสต์”

พี่หนุ่มรู้สึกยังไงกับการที่เอาแชตคุยกัน 2 คนกับคนอื่นมาลงนู่นนี่นั่น?
“มันเป็นเรื่องราวของการประกอบกันมากกว่าว่าในสิ่งที่เขาพูดมันคือยืนยันว่าเป็นตัวเรา”

แต่ยังไม่ได้คุยกับตัวกลาง ผู้จัดการคนนั้นใช่ไหม?
“ยังครับ ก็เท่านี้ แต่ก็เชื่อว่าถ้าเกิดว่ามันไปถึงตรงจุดนั้นก็คงจะต้องมีหมายศาลไปเรียกเขามาอยู่แล้ว เพราะก็เชื่อว่าส่วนหนึ่งคนกลางเองก็อาจจะลำบากใจถ้าเกิดว่าจะต้องไปเป็นพยานให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งถูกไหม ก็น่าจะให้ศาลออกหมายเรียกมาเพื่อจะให้ พูดข้อเท็จจริงแบบกลางๆ ที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือทุกอย่างต้องประกอบกันหมดแล้วครับ”

เราติดใจคนกลางไหมที่อาจจะทำให้การสื่อสารมันผิดพลาด?
“พี่ไม่เคยติดใจ อย่างที่ถามติดใจน้องและคนกลาง พี่บอกพี่ไม่เคยติดใจน้องเลย ไม่เคยมีในความคิดและมโนสำนึกของพี่เลย พี่แค่รู้สึกว่าในบางเรื่องถ้าเกิดว่ามันอาจจะล้ำเส้นพี่ไปนิดนึง หรืออาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง พี่รู้สึกว่ามันก็ไม่แฟร์กับพี่ แล้วพี่รู้สึกว่าพี่ไม่สามารถที่จะคุยกับน้องได้ พี่จะยกหูไปหาที่เมื่อก่อนมันมีเหตุการณ์อะไรอย่างนี้ พี่ก็เคยให้คนติดต่อไปนะ พอมาตรงนี้พี่ก็พยายามทางนี้ให้ติดต่ออีก แต่ว่าโดยตัวพี่เองพี่รู้สึกว่าขอโทษนะคือพี่ไม่รู้ว่าทำไมพี่ต้องติดต่อไป เพราะว่าเรื่องมันไม่ได้มีอะไรแล้ว พี่ไม่ได้พูดถึงน้องเขา แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องติดต่อน้องไป ก็แค่ถ้าเกิดน้องเข้าใจผิดแล้วก็ฝากไปบอกว่าน้องเข้าใจผิดนะไม่ได้เป็นแบบนี้แค่นั้นเอง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ติดใจอะไรน้องเลย”

ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์กับน้องเขาเป็นระดับพี่น้องกัน คนรู้จักวงการเดียวกัน?
“พี่ไม่เคยรู้จักน้อง คือพี่ไม่เคยเจอกันนะแต่ก็รู้ว่าน้องคือใคร แต่ว่าเราไม่เคยเจอกัน ไม่เคยทำงานร่วมกัน”

แต่ว่าอันนี้รับคำขอโทษเป็นคำพูดหรือว่าเป็นการดำเนินคดี?
“ก็อย่างที่บอกทุกสิ่งทุกอย่างต้องว่าไปตามครรลองของมัน ตอนนี้ทุกอย่างมันถูกนำเสนอไปที่ศาลแล้ว ก็แล้วแต่ศาลท่านจะพิจารณาว่าท่านจะเอายังไงต่อไป จะให้ไกล่เกลี่ยกันไหม หรือจะให้อะไรยังไงก็แล้วแต่ หรือถ้าเกิดว่าก่อนจะขึ้นศาลจะมีการพูดคุยกันพี่ก็ยินดี พี่ไม่ได้ติดอะไรเลยคือพี่บอกแล้วว่าพี่ไม่เคยคิดที่จะไปมีเรื่องมีราวกับคนในวงการด้วย”

อย่างแมตซ์แรกจะได้เจอกันเมื่อไหร่?
“น่าจะช่วงเดือนกรกฎาคม แต่ว่าน้องอาจจะยังไม่ต้องไปมั้ง ไม่แน่ใจ พอไปไต่สวนมันต้องเป็นฝั่งของเราก่อน”

คนถามว่าเราฟ้องเขาแล้ว แต่เขาก็ยังตอบไม่หยุด ถ้าพูดง่ายๆ ในภาษาโซเชียลก็คือยังปากแจ๋วกลับมา พี่หนุ่มซีเรียสไหม?
“คือพี่ไม่ซีเรียส พี่เฉยๆ อย่างที่บอกก็ไม่เป็นไร ก็คือแล้วแต่ตัวเขาแล้วกัน แต่ว่าพี่เฉยมาก พี่ไม่ได้โกรธเคืองหรือว่าไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่ว่าแค่บางเรื่องเท่านั้นเอง ถ้าเรื่องอื่นๆ พี่เจอมาเยอะกว่านี้ พี่เจออะไรมาหนักกว่านี้เยอะมาก การที่จะมีคนๆ นึงมาพูดแซะพี่ มาว่าพี่ พี่ไม่ว่าเลย พี่โดนแซะอยู่ทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว พี่ก็เฉยๆ เพียงแต่ว่าพี่ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆ หรือทุกคนมารักพี่ทั้งหมดได้ ก็มีทั้งคนรักคนเกลียด เพียงแต่ว่าคนที่จะเกลียดหรือคนที่ไม่ชอบก็แค่อย่ากล่าวหา อย่าล้ำเส้นพี่เกินไปนักเท่านั้นแหละ”

แสดงว่าการร้องเพลงใส่ หรือการอาบน้ำใส่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเรา?
“ไม่เกี่ยวเลยครับ ก็เป็นสิทธิ์ของน้องเขา ไม่ได้เกี่ยวกับพี่”

ขอถามเรื่องล่าสุดที่วีนทีมงาน?
“เรื่องวีนทีมงาน คือก็อยากให้เข้าใจด้วยว่าตัวพี่เองก็เหนื่อย คือมันเหมือนเราทำงานอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีทีมงานก็คือต้องช่วยกันซัพพอร์ต แต่ก็เป็นธรรมดาแหละครับว่ามันเป็นรายการสด มันไม่สามารถที่จะระหว่างถ่ายรายการ คัตๆ แล้วไปนั่งพูดกันก่อนว่าต้องอย่างนี้ๆ แล้วกลับมานั่งถ่ายกันใหม่ได้ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คือจะพูดไปเดี๋ยวไปว่าทีมงานตัวเอง แต่ไม่เป็นไรหรอก คือเจอหน้าก็ด่ามันต่อหน้าอยู่แล้ว ก็ดีจะได้พูดตรงนี้ให้ฟัง อธิบายให้ฟังง่ายๆ เลยอยากให้เข้าใจ เปรียบเทียบสมมุติพี่เป็นเชฟ พี่กำลังผัดเครื่องแกงอยู่ในกระทะร้อนๆ เลย แล้วพี่บอกลูกมือว่าขอเครื่องปรุงอันนี้หน่อย แต่เครื่องปรุงไม่มา เครื่องแกงที่พี่ทอดอยู่มันจะไหม้ไหมล่ะ เข้าใจไหม คือถ้าคุณจะบอกว่าคุณก็หรี่ไฟสิแล้วยกกระทะออก ต้องบอกก่อนมันไม่ใช่วิถีของเชฟ และอีกอย่างนึงเราก็ทำรายการสดอยู่ เพราะฉะนั้นเนี่ยสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือทีมงานทุกคนรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เราจะทำเรื่องอะไร ภาพมีให้คุณอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเตรียมมันพร้อมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณแค่เสิร์ฟขึ้นมาเท่านั้นเอง ผมเรียกภาพปุ๊บคุณก็แค่เสิร์ฟ แต่ถ้าเกิดมันไม่ได้มันก็ต้องพูดกัน คือคนดูเขาก็รอดูอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกเวลาจำกัดเข้ามาด้วย เราไม่สามารถที่จะทำรายการถึง 3 ชั่วโมง 5 ชั่วโมงไปเรื่อยๆ ได้ เพราะว่ามันมีช่วงเวลาของตากล้องเขาก็ยืนขาแข็ง แล้วแอร์ไทม์ที่ออนแอร์ไปหรืออะไรต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะถูกขะมักเขม้นมากในการทำงาน แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องทำงานร่วมกันให้ได้ อย่างเช่น.เราพูดถึงเรื่องนี้คุณก็ต้องเปิดเลย หรือแม้กระทั่ง อย่างวันนี้รีสอร์ต บางทีมันมีเหตุเกิดขึ้น ตอนแรกก็เบลอมาดีๆ อยู่แล้ว ขอภาพต่อไปไม่เบลอรีสอร์ต พี่ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าจะเบลอหรือไม่เบลอ แต่ถ้าทางที่ถูกที่ควรคือคุณก็ต้องเบลอเอาไว้ก่อน เพราะคุณก็ต้องเคารพสิทธิ์ของเขาด้วย แต่อันนี้คุณทำมา คุณไม่เคารพสิทธิ์ของเขา อ๋อ ไม่เป็นไรช่างมัน ผ่านไป ไม่ใช่ เพราะเวลาฟ้องเราโดนฟ้อง ทีมงานไม่ได้โดนฟ้องนึกออกไหม แต่พี่ก็ไม่ถือสานะถ้าเกิดใครมาว่าพี่วีนวัยทองหรือเปล่า คือมันด้วยบริบทการทำงานของพี่ มันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ พี่เชื่อว่าคุณพุทธ อภิวรรณ เป็นยิ่งกว่าพี่อีกนะ (ยิ้ม)”

อย่างในพาร์ตหน้าจออันนั้นซอฟต์แล้วใช่ไหม เบื้องหลังกว่านี้ไหม?
“หลังๆ ไม่ค่อยขนาดนั้นหรอก แต่ว่าหน้าจอบางทีมันแอ๊กชั่นมากไปหน่อย บางทีมันโมโหอะไรอย่างนี้”

จริงๆ มันมีผลกระทบอะไรกับเคสที่ไม่เบลอไว้?
“มันมีหลากหลายมากย้อนไปถึงเรื่องราวของอ.อ๊อด บางทีเอามานำเสนอแล้วก็ไม่เบลอลายเซ็นแก หรือไม่ได้เบลอหัวกระดาษ แกก็ฟ้องเอา แล้วพี่เป็นคนทำงาน หน้าจอ พี่เป็นคนอ่าน บางทีเราก็ต้องโดนหางเลขไปด้วย ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าทีนี้ทีมงานของโหนกระแสเองพี่ว่าประสบการณ์ในทุกๆ วันมันก็จะเป็นสิ่งที่บอกอยู่แล้วว่าอันไหนคุณทำได้ อันไหนไม่ควรทำ อันไหนไปล้ำเส้นเขามากเกินไปหรือเปล่า อันนี้คือเราก็จะรู้”

พี่หนุ่มกลัวไหมว่าจะมีผลต่อคนดูทางบ้าน เพราะเขาไม่เห็นว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไง แต่ว่าด้วยสิ่งที่เราพูดออกไปหรือแสดงออกไปคนอาจจะตีความแค่ช่วงนั้น?
“ทุกวันนี้ก็มีคนตีความแค่นั้นเหมือนกัน ก็จะบอกว่าพี่เป็นวัยทองบ้าง ทำไมขี้โมโห ทำไมอะไรอย่างนี้ ก็ต้องขอโทษด้วยนะ(ยกมือไหว้) สำหรับคนดูทุกๆ คน แต่ว่าบางทีวิธีการทำงานบางครั้งมันแย่จริงๆ คือมันเหมือนกับว่าอยากให้ทีมงานมันพร้อม แล้วเวลาที่มันเสิร์ฟอะไรออกไป หรือนำเสนออะไรออกไปมันจะได้เรื่องกระชับ แล้วคนดูก็จะได้ไม่ต้องนั่งรอ หรือแม้กระทั่งมันจะได้ไม่ต้องไปล้ำเส้นคนอื่นๆด้วย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องพร้อม”

พี่หนุ่มรู้สึกบั่นทอนจิตใจไหม นอยด์ไหมที่เขาตีความไปแบบนั้น?
“ไม่นอยด์ครับ คือเข้าใจได้ คือพี่เคยเจอมามากกว่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ที่พี่รู้สึกพี่ไม่โอเคมากที่สุดสำหรับการดูรายการโหนกระแสไม่ใช่เรื่องที่มาด่าพี่เลยนะ ไม่เกี่ยวเลย พี่ไม่สนใจ พี่สนใจเรื่องเดียวคือไม่อยากให้มีการเบลมเหยื่อเกิดขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่พี่รู้สึกแย่มาก อย่างบางทีคนที่ตายไปแล้วคุณก็ไปเบลมเขา บางทีพี่ก็จะพูดบาปบุญนะกรรมมันมีจริง บางทีคุณไปด่าเขามากมันอาจจะกลับไปถึงตัวคุณก็ได้ เขาก็จะตอบกลับมาว่าไงรู้ไหม อ๋อไม่มีศาสนา ไม่กลัวกรรม ซึ่งมันก็จะมีอะไรแบบนี้”

อย่างที่พี่หนุ่มบอกว่าบล็อกนะ บล็อกจริงไหม?
“บล็อกจริง ก็คือไม่ได้ดู เพราะว่าพี่มองว่าคุณเข้ามาในบ้านผม ถึงบ้านผมเปิดเป็นสาธารณะก็จริง แต่ถ้าคุณทำผิดกฎบ้านผม ผมก็มีสิทธิ์ที่จะทำโทษคุณได้เหมือนกัน ทุกๆ บ้านก็ต้องมีกฎไง”

แล้วตอนนี้ภาพลักษณ์พี่หนุ่มดูดุดันไปเลย?
“พี่ไม่ใช่คนดุเลย แล้วเป็นคนที่คุยได้ตลอด เพียงแต่ว่าบางเรื่องพี่มองว่าบางทีมันไม่เหมาะมันไม่ดีจริงๆ แล้วบางทีผู้หญิงคนนึง หรือคนคนหนึ่งโดนหลอกมาจากมิจฉาชีพ มันก็ต้องดูว่าเขาเป็นเหยื่อ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าก็โง่เองให้เขาหลอก คือคนเราชีวิตไม่เหมือนกัน ชื่อก็ไม่เหมือนกัน พ่อแม่เลี้ยงมาไม่เหมือนกัน การรับรู้มุมของข่าวก็ไม่เหมือนกัน มันก็ไม่แปลกหรอกที่บางคนเขาอาจจะไม่รู้จริงๆ แล้วเขาไปโดนไม่ได้หมายความว่าเขาโง่ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะเสียเปรียบคนอื่นเท่านั้นเอง ไม่อยากให้มีการเบลมกันเท่านั้นแหละ”

รายการโหนกระป๋องฮามาก อยากรู้ว่าจะเป็นไปได้ไหมถ้าจะทำทุกสัปดาห์?
“จริงๆ ก็อยากจะทำ แต่ว่าป๋องไม่ค่อยว่าง แต่ว่าก็ชอบรายการโหนกระป๋อง เพราะก็ทำให้เห็นว่าทนายแก้วเป็นคนยังไง”

ทนายเก้าเขาซีเรียสไหม แต่ก่อนหน้านี้มีแค่คำพูด แต่ตอนหลังมีคลิปประกอบ?
“จะไปซีเรียสอะไร ก็มันเรื่องจริงทั้งนั้น”

ความน่าเชื่อถือของความเป็นทนายส่วนตัวพี่หนุ่มด้วย?
“แก้วไม่ใช่ทนายส่วนตัวของพี่ เพียงแต่ว่าแก้วจะเป็นคนที่ออกรายการโหนกระแสบ่อยแล้วพี่ก็เห็นว่าเขาอธิบายเรื่องข้อมูลทางกฎหมายได้ชัดได้เคลียร์ในบางเรื่องก็เลยรู้สึกว่าให้แก้วเข้ามาบ่อยๆ หน่อย แต่ว่าโดยส่วนตัวทนายของพี่มีหลายคน แก้วก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ก็จะมีคนนู้นคนนี้อีกเยอะแยะมากมาย”

พอมันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หลังจบรายการมันมีการคุยกันไหมกับทีมงานว่าต้องทำยังไงไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก?
“(ถอนหายใจ) คุยกันทุกวัน แล้วก็เป็นทุกวัน”

แต่หลายๆ คนก็รู้สึกเชียร์เรา ทุกคนก็ลุ้นไปว่าเมื่อไหร่จะมา เมื่อไหร่จะเสร็จ?
“ไม่หรอก แต่บางทีก็ต้องยอมรับ บางทีอาจจะเป็นความใจร้อนของพี่ด้วยก็ได้ส่วนหนึ่ง ก็ไม่อยากไปโทษทีมงานทั้งหมด เขาก็คงจะเหนื่อยในมุมของเขาแหละ เพียงแต่ว่าเราก็เหนื่อยในมุมของเรา ต่างคนต่างเหนื่อยไง พอดีเราเป็นเจ้านายไงเราก็เลยว่าเขาได้ เขาก็คงไปแอบด่าเราลับหลัง มันต้องมีอยู่แล้วแหละ เลขานินทานาย ลูกน้อง ก็ด่านายเป็นประจำ ในที่นี้ใครไม่เคยบ่นนายตัวเอง ไม่มีหรอก”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.