PSP ผู้นำด้านโซลูชันผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจร เปิดงบไตรมาสแรกปี 2568 ผลดำเนินงานกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีกำไรสุทธิ 264.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.34% จากกำไรสุทธิ 184.53 ล้านบาท เมื่อไตรมาสแรกปีที่แล้ว เผยสัดส่วนรายได้ 76% มาจากการขายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น จาระบี น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า น้ำมันผสมยาง ฯลฯ ในประเทศ ขณะที่ 24% เป็นสัดส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเติบโตจากสัดส่วน 19% เมื่อปี 2567 มองเศรษฐกิจและภาวะอุตสาหกรรมโดยรวมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของ PSP พร้อมเป็นโอกาสให้ผลการดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย รายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ในปีนี้ ควบคู่เดินหน้าเติบโตบนเส้นทางธุรกิจยั่งยืน
วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายเสกสรร ครองพาณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย PSP มีรายได้รวม 3,503.42 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับรายได้รวมเมื่อไตรมาส 1/2567 ที่ 3,504.37 ล้านบาท และเติบโต 14% เมื่อเทียบกับรายได้รวมของไตรมาส 4/2568 รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากการขายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น จาระบี น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า น้ำมันผสมยาง และอื่น ๆ ประมาณ 95 – 97% ของรายได้รวม โดยมีรายได้จากการขายไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศทะลุ 24% สูงกว่าปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 19% นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 509.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า
“การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนรายได้รวม มาจากการเปลี่ยนแปลงของรายได้จากการขาย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายในประเทศ 76% และรายได้จากการขายในต่างประเทศ 24% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกที่เติบโตจากปี 2567 ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 509.99 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจากการบริหารจัดการระดับสินค้าคงเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ต้นทุนวัตถุดิบที่เหมาะสมและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 11.94% เป็น 14.56%” นายเสกสรร กล่าว
ในไตรมาสแรกปี 2568 นี้ PSP มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 3 เดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 264.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.34% จาก 184.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.55% ซึ่งเพิ่มจาก 5.27% โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากการลดลงของต้นทุนขายสินค้าและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง รวมทั้งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรมาจากบริษัทร่วมทุนและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นก็ตาม
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวลงในไตรมาสแรกของปี ทั้งจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ลงเหลือ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.3% ความตึงเครียดทางการค้าที่เป็นเหตุจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แม้มาตรการภาษีจะได้รับการผ่อนผันชั่วคราว แต่ก็ยังสร้างความไม่แน่นอน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากคาดการณ์การเติบโต 2.4% ลดเหลือ 1.4% ในปี 2568 ขณะการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกกลับเพิ่มขึ้นถึง 15.2% ซึ่งคาดว่าเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษี ด้านการลงทุนจากภาคเอกชนมีการชะลอตัวจากสงครามการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าความท้าทายจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของ PSP เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่กําหนดเป้าหมายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประเทศในเอเชีย เช่น ไทย กลายเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สําหรับลูกค้าที่ต้องการหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่เพื่อทดแทนแหล่งเดิม
“สำหรับแผนงานของ PSP ในปีนี้ เรามีเป้าหมายในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยจัดกิจกรรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความยั่งยืน และกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) ในเรื่องการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับองค์กร เพื่อให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับธุรกิจไปด้วยกัน พร้อมติดตามผลและการรายงานผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเว็ปไซต์หลักของบริษัท และนำข้อมูลผลการดำเนินงานเข้าสู่ ระบบ ESG Data Platform ซึ่งเป็นระบบการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนที่ยั่งยืน ควบคู่กับเป้าหมายรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ในปี 2568 นี้” นายเสกสรร กล่าว