MGC-ASIA โชว์ฟอร์มเจ๋ง ตามนัด ไตรมาส 1/2568 กวาดกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท พุ่ง 678% (YoY) ขณะที่ EBITDA แตะ 432 ล้านบาท เติบโต 19% (YoY) รับเมกะเทรนด์ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-เทค อย่าง XPENG และ ZEEKR ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ดีมานด์ส่งมอบพุ่งต่อเนื่อง ด้าน “ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ” ส่งซิกครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานทะยาน หลังไตรมาส 2 จ่อทยอยส่งมอบ XPENG อีกกว่า 1,500 คัน ขณะที่ธุรกิจบริการด้านการเงิน ALPHA X ส่งสัญญาณบวกรับอานิสงค์แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เล็งขยายฐานกลุ่ม Wealth Lending เพิ่ม
วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2568 (มกราคม-มีนาคม 2568) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 678% (YoY) และมีรายได้รวม 4,065 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% (YoY)ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ที่เพิ่มขึ้น จากการส่งมอบรถยนต์ที่รับจองในงาน The 46th Bangkok International Motor Show และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมทุน นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย (Neo Mobility Asia) ที่มีการส่งมอบรถยนต์ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4/2567 จนถึงปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) ที่รายได้เติบโตในหลายทีมประกันภัยที่มีลูกค้าทั้งรายใหญ่และรายใหม่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกกลุ่มบริษัทจดทะเบียนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากวิกฤตสงครามการค้า ทำให้สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดความผันผวน และเริ่มเปราะบางมากขึ้น แต่ MGC-ASIA ยังคงเดินหน้าฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมุ่งปรับกลยุทธ์และโครงสร้างการดำเนินงานเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศธุรกิจ ด้วยการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อสร้างโอกาสและเสริมพลังร่วมกันระหว่างธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ทันสมัย มุ่งสู่การสร้าง New S-curve และกระจายรายได้ในอนาคต
จากกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 ของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในส่วนของธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ มีรายได้อยู่ที่ 2,650.30 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบรถยนต์ที่รับจองในงาน The 46th Bangkok International Motor Show ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. – 6 เม.ย. 2568 โดยเฉพาะ XPENG ซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-เทค และ ZEEKR ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ ที่มีกระแสตอบรับดีมาก ทำให้ยอดจองซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดย XPENG มียอดจอง 1,399 คัน ทำให้เกิดการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนจากบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ที่ให้บริการทั้งจัดจำหน่าย และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในกลุ่มธุรกิจ EV ทั้งหมด
นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขายและให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ มีรายได้อยู่ที่ 952.20 ล้านบาท จากการมียอดใช้บริการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร (One-Stop Service) และการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) ตอกย้ำถึงศักยภาพการให้บริการด้านการจัดการ งานบริการซ่อมได้ครอบคลุมทุกมิติ ตามมาตรฐานสากล ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในกลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่า และพนักงานขับ มีรายได้อยู่ที่ 426.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.20% (YoY) จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจำนวนรถยนต์ในฟลีต โดยบริษัท มาสเตอร์ คาร์ เร้นเทิล จำกัด (MCR) หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการรถเช่าระยะยาว ขณะที่ ซิกท์ รถเช่า ประเทศไทย (SIXT) ผู้ให้บริการรถเช่าระยะสั้น สำหรับบุคคลทั่วไป มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวโดยรวมจะชะลอตัว แต่ SIXT มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากฐานลูกค้า SIXT เป็นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม-ลักชัวรี และกลุ่มลูกค้า Self drive จึงไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเร่งเดินหน้าขยายสาขาทั่วประเทศ จากปัจจุบันขยายจำนวนรถเพิ่มขึ้นกว่า 20% และเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ระดับพรีเมียม-ลักชัวรี ที่ยังคงมีดีมานด์การใช้เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจให้บริการด้านการเงิน ภายใต้ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด (Alpha X) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนธุรกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเติบโตด้วยธุรกิจ Wealth Lending ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (Ultra-High Net Worth), 2. การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ และ 3. การจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ ที่แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเร็วและสูงกว่าที่คาดจากลูกหนี้กลุ่มที่บริษัทฯ รับเข้ามาตั้งแต่ช่วงเริ่มธุรกิจที่ด้อยคุณภาพลงจากภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดทุน แต่ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ สามารถมีผลกำไรได้ตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ ธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) สามารถทำรายได้แตะระดับ 86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท (YoY) จากทีมงานที่สามารถสร้างรายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ได้แก่ ทีมรถยนต์, ประกันภัยต่อ, ทีมงานอัญมณีเครื่องประดับ, งานศิลปะ, ทีมงานประกันภัยทางการเงิน และทีมงานประกันภัยไซเบอร์ ขณะเดียวกันยังเดินหน้ารักษาการต่อสัญญาของลูกค้าเดิม และขยายสู่กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2568 นั้น ดร.สัณหวุฒิ กล่าวตอกย้ำว่า บริษัทฯ ยังคงวางกลยุทธ์สู่การต่อยอดการเติบโตใน 4 ธุรกิจสู่การสร้าง New S-curve อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอัตราผลตอบแทนอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า XPENG ที่เตรียมทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงไตรมาส 2/2568 อีกกว่า 1,500 คัน ขณะที่ ZEEKR ก็มีแนวโน้มส่งมอบรถอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ตามเทรนด์รถ EV ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ส่งผลให้ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) 2,159 คัน แบ่งเป็น XPENG จำนวน 1,265 คัน, ZEEKR จำนวน 248 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 179 คัน, MINI จำนวน 62 คัน, HONDA จำนวน 228 คัน, Harley-Davidson จำนวน 67 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 102 คัน
ขณะที่ธุรกิจบริการด้านการเงิน Alpha X ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น คาดว่าแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2% เหลือ 1.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อธุรกิจที่สามารถเปิดโอกาสให้การลงทุนและสินเชื่อเอกชนกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ Alpha X ได้รับปัจจัยบวกจากกรณีดังกล่าวที่จะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Ultra-high Net Worth ได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจบริการด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากการให้บริการประกันภัยรถยนต์ที่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลัก ทางบริษัทฯ ได้มีการขยายการให้บริการครอบคลุมไปยังภาคพลังงานและพลังงานทางเลือก (Renewable Energy) ที่สอดคล้องกับนโยบายลดมลพิษทางอากาศของประเทศ โดยในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นให้บริการด้านการประกันภัยที่ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยงสำหรับองค์กรที่กำลังดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน รวมทั้งยังได้ให้บริการด้านประกันคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Insurance) เพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่มุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อต่อยอดธุรกิจให้อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่อย่างยั่งยืน
อีกทั้งในหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Insurance) ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ได้พัฒนาแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรทุกขนาด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว