บอกลาปัญหาหลุมสิว ด้วยเทคโนโลยีกระตุ้นคอลลาเจนที่ EY Clinic
GH News May 21, 2025 09:32 AM

“หลุมสิว” เป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยากและใช้เวลานาน โดยคนที่มีปัญหานี้ย่อมหนักใจกับใบหน้าที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ ที่ไม่ว่าจะทาครีมเท่าไร ก็ยังดูไม่เรียบเนียนจนทำให้หมดความมั่นใจไปได้ง่าย ๆ

EY Clinic เข้าใจดีถึงความหนักใจของคนไข้ เราจึงนำเสนอการรักษาผ่าน “การกระตุ้นคอลลาเจน” ภายใต้การดูแลของแพทย์เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง หมอผึ้ง, พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์, (ว36829 และ วว29297) ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย พร้อมแผนการรักษาที่ออกแบบมาเฉพาะตัวบุคคลโดยปราศจากการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น

เข้าใจ “หลุมสิว”

หลุมสิว (Atrophic acne scar) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว และการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ การกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว จึงเป็นวิธีที่เราจะสามารถทำได้ เพื่อให้รอยหลุมสิวดูจาง และช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้น

การกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยรักษาหลุมสิวได้อย่างไร

คอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำ และเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างให้กับผิว โดยเป็นองค์ประกอบที่กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวมีความกระชับและแข็งแรง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสมานแผลด้วย

การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen stimulation) จึงเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของการรักษาให้หลุมสิวดูจางลง และปรับสภาพให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Collagen Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ โดยสารตัวนี้มีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น

ตัวอย่างของ Biostimulator ที่กำลังเป็นที่นิยม ได้แก่ Rejuran และ Sculptra แต่อย่างไรก็ดี การกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฉีด Biostimulator เท่านั้น

5 วิธีกระตุ้นคอลลาเจน รักษาหลุมสิว

ในปัจจุบัน เรามีหัตถการในการกระตุ้นคอลลาเจน และรักษาหลุมสิวให้เลือกใช้บริการมากมาย โดยแต่ละวิธีก็จะมีหลักการทำงาน และความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหมอขอยกตัวอย่าง 5 วิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ และกำลังได้รับความนิยมมาอธิบายในบทความนี้

1.Rejuran S (PN)

Rejuran หรือ รีจูรัน คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) บริสุทธิ์ที่สกัดมาจากชิ้นส่วนพันธุกรรมของปลาแซลม่อน โดยสารโพลีนิวคลีโอไทด์ถือเป็น Biostimulator เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้วช่วยซัพพอร์ตโครงสร้างของสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และจะทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น

นอกจากคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิวแล้ว Rejuran ยังมีคุณสมบัติอื่นด้วย ดังนี้

  • ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • ช่วยให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) หนาตัวขึ้น สร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะ และแสงยูวี
  • กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการสมานแผลและการไหลเวียนของเลือด เพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่

Rejuran จึงเป็นตัวเลือกให้มากกว่าการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิว แต่ยังช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ริ้วรอยแห่งวัย ปรับสภาพผิว และเสริมสร้างให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงด้วย

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Rejuran แล้ว Rejuran S คือตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาหลุมสิวและแแผลเป็นโดยเฉพาะ ซึ่ง Rejuran S (กล่องสีน้ำเงิน) จะมีเนื้อที่หนืดและเข้มข้นกว่า Rejuran ตัวอื่น ๆ โดยประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว และรอยดำ-รอยแดงด้วย

ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Rejuran S จะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ควรเริ่มฉีด Rejuran S ติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือน

2.Sculptra (PLLA)

Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมสูงเช่นกัน โดย Sculptra คือ สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัด ซึ่งสาร PLLA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนที่จะช่วยให้หลุมสิวดูจางลง และเผยผิวที่กระชับ ชุ่มชื้นมากขึ้น

โดยหลักการทำงานของ Sculptra ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว มีคร่าว ๆ ดังนี้

  • เมื่อฉีด Sculptra แล้วตัว PLLA จะกระตุ้นการอักเสบของเซลล์แบบเบา ๆ เพื่อทำให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล
  • ในกระบวนการสมานแผล เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) จะถูกกระตุ้น ส่งผลให้มีการผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีด Sculptra แล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% 
  • คอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นช่วยให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน และยังช่วยลดปัญหาริ้วรอย พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น และแข็งแรงมากขึ้นด้วย

การที่ Sculptra เป็นสารตัวเดียวกับไหมละลาย อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกสงสัยว่า แล้วฉีดสารไหมละลายตัวนี้เข้าผิวหนังแล้วจะทำให้เกิดอันตรายหรือไม่ หมอขอชี้แจงแบบนี้ ว่า ตัว Sculptra ก็ได้รับการรับรองจาก US FDA ใน ปี 2004 ในฐานะ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อจุดประสงค์ของความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Sculptra มีความปลอดภัยและสามารถทำงานกับเซลล์ของเราได้โดยไม่รบกวนการทำงานของผิว

การฉีด Sculptra เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์ของ Sculptra อยู่ได้นานถึง 2 ปี และสามารถฉีดกระตุ้นได้ปีละ 1 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ได้

3.Juvelook (PDLLA)

Juvelook คือ สาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) และไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ Non-crosslinked ซึ่งตัว PDLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิวในระยะยาว โดยมีลักษณะที่คล้ายกับ PLLA ของ Sculptra เพียงแต่มีการจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกันเล็กน้อย ส่วนตัวไฮยาลูรอนิก แอซิด จะให้ความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด

การฉีด Juvelook จึงเป็นการเติมน้ำให้ผิวและฟื้นฟูผิวด้วยการกระตุ้นคอลลาเจน โดยเมื่อฉีดครั้งแรก ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดจะให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันที ทำให้ผิวฟูขึ้นและหลุมสิวดูจางลง หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ เราจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ของ PDLLA โดยผิวจะถูกกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโครงสร้างผิวอื่น ๆ ออกมามากขึ้น ทำให้ผิวเริ่มมีความกระชับ เรียบเนียน ชุ่มชื้นมากขึ้น โดยพบว่าปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากฉีด Juvelook เพียง 6 เดือน ให้ผิวมีความแน่นฟูและแข็งแรงยิ่งขึ้น

ตัว PDLLA ก็ยังมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพต่อร่างกายมนุษย์ (Biocompatibility) ไม่ต่างกับ PLLA ของ Sculptra และได้รับการรับรองโดย FDA เพื่อจุดประสงค์ด้านความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Juvelook เป็นวิธีการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละประมาณ 1 เดือน และสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 6-12 เดือน

4.Profhilo (Non-Crosslinked HA)

Profhilo คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิดที่มีความบริสุทธิ์สูง ผลิตด้วยเทคโนโลยี NAHYCO® และถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนโดยเฉพาะ โดยมีโมเลกุลที่ไม่เชื่อมต่อกัน (Non-crosslinked) ซึ่งทำให้เนื้อเหลว ไม่ขึ้นรูปเหมือนฟิลเลอร์ มีความเสถียร และทำงานกับเซลล์ผิวได้นานขึ้น

Profhilo โดดเด่นในเรื่องการฟื้นฟูคุณภาพผิวผ่านการปรับโครงสร้างผิว (Bio-remodeling) โดยจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1,3, และ 4 รวมถึงอีลาสตินในทุกชั้นผิว ให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิวทางธรรมชาติ

Profhilo เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ปัญหาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท Rolling ที่กว้างและมีขอบหลุมไม่ชัดเจน โดยพบว่า การฉีด Profhilo ควบคู่ไปกับ การตัดพังผืด (Subcision) ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจต่อผู้รักษามากกว่าถึง 2 เท่า (นับจากคะแนนความพึงพอใจของผู้ป่วยหรือ VAS score) เมื่อเทียบกับการรักษาด้วย Subcision เพียงอย่างเดียว

การฉีด Profhilo ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะ 1 เดือนต่อครั้ง และผลลัพธ์มีอายุยาวนาน 6-12 เดือน โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด และสามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6 เดือน

4.เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน

ไม่ว่าจะเป็น Fractional CO2, Pico, หรือ Fractional RF เราสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า เลเซอร์ คือ การใช้พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว โดยพลังงานไม่ว่าจะเป็น แสงอินฟราเรด แสงสีเหลือง หรือคลื่นวิทยุ เมื่อถูกยิงเข้าสู่ชั้นผิวแล้วก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น และยังทำให้เกิดการจัดเรียงโครงสร้างของผิว (Remodeling) ด้วย ซึ่งเลเซอร์แต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติ รูปแบบของพลังงาน และความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ต้องกันออกไป อาทิ เช่น

  • Fractional CO2 ปล่อยพลังงานแสงที่ความยาวคลื่น 10,600 nm โดยใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นตัวพาในการส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาผิว อย่าง สิวข้าวสาร สิวอุดตัน และริ้วรอยเล็ก ๆ ด้วย
  • Fractional RF ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว และใช้เทคนิค Microneedling หรือเข็มขนาดเล็กในการกระจายคลื่นวิทยุ และช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผล
  • Venus Viva MD เป็นเลเซอร์ RF กระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวตัวหนึ่งที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ซึ่งส่งผ่านคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว (300 นาโนเมตร) ทำให้คลื่นวิทยุสามารถเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกและกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ และ SmartScan™ ซึ่งทำให้เราสามารถปรับโหมดของการปล่อยคลื่นให้เหมาะสมกับสภาพผิวมากขึ้น

เลเซอร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ ทั้งนี้จำนวนครั้งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ สภาพผิว และการประเมินผลของแพทย์ด้วย

EY Clinic คือ คลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว และ หลุมสิว

หากคุณกำลังมองหาคอร์สการรักษาหลุมสิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ให้ EY Clinic เป็นผู้ดูแล โดยเรา คือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย

  • หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery, แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี [ว36829 และ วว29297]
  • หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี [ว36832]

ยินดีให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดี มอบความความมั่นใจให้ผิวหน้าในแบบที่คุณต้องการ

? นัดปรึกษาปัญหาผิวที่ EY Clinic วันนี้! ? ติดต่อเราได้ที่ 093-414-6719 หรือแอดไลน์@EYClinicTH ? ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.eyclinic.com/

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.