"เจ้าพระยา"เขียนถึงความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญ เช่น การจัดสรรงบประมาณ โควตากระทรวงคมนาคม และนโยบายเศรษฐกิจระดับฐานราก ความตึงเครียดเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในหลายมิติ จนเกินกว่าคำว่า “ไม่ลงรอย” ทั้งยังมีรายงานว่าทั้งสองพรรคมีปัญหาการแบ่งอิทธิพลในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันของ ส.ส. และการผลักดันนโยบายในพื้นที่
แรงเสียดทานนี้สะท้อนภาพของการขาดเอกภาพในการบริหาร และอาจทำให้การผ่านร่างกฎหมายสำคัญต้องเผชิญกับแรงต่อรองมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา เช่น การจับมือระหว่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็เริ่มถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นแรงเสริมที่เขย่าสมดุลรัฐบาล
ในอีกด้าน รัฐบาลยังถูกตั้งคำถามจากประชาชนในหลายเรื่อง ทั้งนโยบายที่ยังไม่เห็นผลชัด เช่น ดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกเลื่อนซ้ำซาก บทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงเงาของตระกูลการเมืองเดิม และข้อสงสัยในความโปร่งใสของโครงการขนาดใหญ่ที่ฝ่ายค้านเริ่มเปิดประเด็นโจมตีได้มากขึ้น
ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก รัฐบาลจึงอยู่ในภาวะที่ “เปราะบาง” และต้องเร่งสร้างผลงานที่จับต้องได้โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น ลดภาพการผูกขาดอำนาจ และเปิดทางให้ผู้นำรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเองต้องประคองความสัมพันธ์กับพรรคร่วมอย่างรอบคอบและเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ความแตกแยกภายในกลายเป็นชนวนล้มรัฐบาลในระยะยาว
เหนือสิ่งอื่นใด พรรคเพื่อไทยต้องไม่ลืมว่า การเป็นรัฐบาลอย่างมั่นคงไม่ใช่แค่การมีเสียงข้างมากในสภา แต่คือการรักษาความชอบธรรมให้ดำรงอยู่ในใจประชาชนอย่างต่อเนื่อง