ปิดตา ปิดไฟ เปิดใจ ลิ้มอาหารใน ‘ความมืด’ ที่ ‘ไดน์ อิน เดอะ ดาร์ค’
จะเป็นอย่างไร หากเราต้องรับประทานอาหารท่ามกลางความมืดสนิทที่มองไม่เห็นแม้แต่อาหารตรงหน้า
ไม่มีแสงไฟ ไม่มีกรอบความเคยชิน ไม่เห็นเมนู ไม่มีแม้แต่เงาของจานอาหาร มีเพียงกลิ่น เสียง และสัมผัส ที่จะเปิดประตูก้าวสู่ความมืดพร้อมกับมื้อค่ำสุดพิเศษที่ไม่อาจลืม เป็นการ “ปิด” ประสาทสัมผัสหนึ่ง เพื่อ “เปิด” ให้ประสาทสัมผัสที่เหลือทำงานได้อย่างเต็มที่กว่าเดิมกับ “ไดน์ อิน เดอะ ดาร์ค” (ดีไอดี) ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเล็คชั่น โฮเท็ล
ก่อนปลุกทุกประสาทสัมผัสให้ตื่นในโลกที่ไร้แสง ดื่มด่ำกับเมนูรังสรรค์พิเศษ 4 คอร์ส เพื่อให้การรับประทานอาหารในค่ำคืนนี้สมบูรณ์แบบ อันดับแรกเราจะต้องฝากโทรศัพท์มือถือ นาฬิกาที่ทำให้เกิดแสง และสวมผ้ากันเปื้อนให้เรียบร้อย จากนั้นพนักงานจะเริ่มแบ่งกลุ่ม 5-6 คนต่อ 1 โต๊ะอาหาร และสอบถามข้อมูลข้อจำกัดด้านอาหาร หรือความต้องการพิเศษล่วงหน้า เช่น แพ้อาหารชนิดใด หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไหน สามารถแจ้งกับทางพนักงานได้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งเมนูพิเศษทุกคอร์สที่รังสรรค์ จะถูกเก็บเป็นความลับจนกว่าจะสิ้นสุดมื้ออาหาร โดยระหว่างการรับประทานอาหารจะได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งรส กลิ่น เสียง และสัมผัส เพื่อคาดเดาว่าสิ่งที่ลิ้มลองคืออะไร เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของการรับรสโดยไร้แสงไฟ พร้อมร่วมสนับสนุนสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ผ่านมื้ออาหารที่เปี่ยมด้วยความหมาย
ถึงเวลาเปิดประตูสู่ห้องอาหารที่มืดสนิทหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีแม้แต่แสงสว่างเล็ดลอด ปล่อยให้ความมืดทำหน้าที่เปิดประสบการณ์ใหม่ โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตารับหน้าที่เป็น ‘ไกด์’ หรือผู้นำทางตลอดมื้ออาหาร ที่มอบทั้งความอบอุ่น และเสิร์ฟอาหารท่ามกลางความมืดสนิทอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกสัมผัสของรสชาติเปี่ยมด้วยความหมายและเข้าใจโลกในความมืด ซึ่งไกด์จะให้ทุกคนเกาะไหล่เรียงกันเป็นรถไฟ โดยที่ไกด์จะเป็นผู้นำทางเปิดประตูเข้าห้อง สู่ความมืดที่เมื่อลืมตาหรือหลับตาก็มีค่าเท่ากัน
เมื่อเข้ามานั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว บางทีเราอาจจะมองเห็นชีวิตได้ชัดเจนกว่าที่เคยก็เป็นได้ เพราะขณะที่แสงไฟดับลง การมองเห็นถูกปิดกั้น ทำให้ไม่รู้เลยว่าอาหารในจานคืออะไร ไม่รู้ว่าใครนั่งข้างๆ มีเพียงเสียงที่เปล่งออกมาเท่านั้นที่ทำให้ทราบตำแหน่งของเพื่อนร่วมโต๊ะ
โดยเริ่มต้นไกด์จะแนะนำอุปกรณ์บนโต๊ะว่ามีอะไรบ้าง อยู่ในตำแหน่งทิศทางใด และไกด์จะให้เราได้ลองเทน้ำจากเหยือกลงในแก้วภายใต้ความมืด ซึ่งปกติหากเรามองเห็น หรือมีแสงสว่างมากพอการเทน้ำจากเหยือกลงแก้วถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่กลับกันเมื่อดวงตาหลับใหล ความมืดรายล้อม การเทน้ำลงแก้วโดยไม่ให้หกเลอะเทอะจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย และยากกว่าที่เคย แต่ไกด์หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาสามารถเทน้ำลงแก้วโดยไม่หกได้ ไกด์เผยว่า เราต้องตั้งใจฟังเสียงน้ำที่ไหล ว่าเสียงเป็นอย่างไร เสียงโปร่งหรือทึบ การฟังเสียงน้ำไหลจะสามารถรู้ได้ว่าน้ำอยู่ในระดับใด ต้องเทน้ำมากน้อยแค่ไหนถึงจะพอดี พอได้ฟังก็ทำให้เข้าใจมุมมองผู้ที่บกพร่องทางสายตามากขึ้น บางเรื่องในชีวิตประจำวันที่เรามองว่าง่าย อย่างการเทน้ำ แต่เมื่อประสาทสัมผัสของเราถูกจำกัด สิ่งนั้นจะกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายขึ้นโดยทันที
ในค่ำคืนสุดพิเศษไกด์จะเสิร์ฟอาหารทั้งหมด 4 คอร์ส คือ Appetizer, Soup, Main และ Dessert ด้วยความที่ไม่รู้ว่าอาหารตรงหน้ามีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร จินตนาการจึงโลดแล่นขึ้น ต้องใช้จมูกในการดมกลิ่น ใช้ลิ้นในการรับรส ซึ่งทุกสัมผัสจะปลุกให้ตื่นอย่างชัดเจนจนน่าทึ่ง ทั้งกลิ่นหอมของอาหาร รสชาติที่กลมกล่อม และเสียงหัวเราะ สิ่งเหล่านี้จะถูกเล่าเรื่องแทนสายตา
ทำให้เราได้สัมผัสรสชาติของอาหารแบบลึกซึ้ง ได้ยินเสียงของตัวเองและคนรอบข้างอย่างแท้จริง ได้ฟังมากกว่าตัดสิน เป็นพื้นที่ปลอดแสงและปลอดภัย ร่วมแลกเปลี่ยนคาดเดากันว่าเมนูที่ได้ลิ้มลองเป็นเมนูอะไร เกิดเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เสียงพูดคุยและกลิ่นอาหารที่ลอยแตะปลายจมูก จะกลายเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่ดีที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความมืดรายล้อม ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีกล้อง ไม่มีสิ่งรบกวนทางสายตา มีเพียงความรู้สึก ความตั้งใจ และบทสนทนา ทำให้ห้องอาหารที่ไร้แสงนี้ นำพาสู่ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แปลกใหม่และเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ภายใต้ความมืด ทุกคำคือการค้นพบ ทุกสัมผัสคือการเชื่อมโยงระหว่างใจและรสชาติ
หลังจากมื้ออาหารในค่ำคืนนี้สิ้นสุดลง พนักงานก็จะเปิดเผยถึงเมนูสุดพิเศษที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและรสชาติที่ลงตัว โดยเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วย “หอยเชลล์ย่างเนื้อนุ่ม” เสิร์ฟคู่กับ “ซอสถั่วลันเตาและสลัดแอปเปิล” เพิ่มความกรอบด้วย “โครเกต์มันฝรั่งและครีมทรัฟเฟิล” ต่อด้วย “ข้าวซอยไก่ต้นตำรับ” มาจากภาคเหนือ
หอมกรุ่นด้วยเครื่องเทศสูตรพิเศษ เพิ่มความอร่อยอย่างลงตัวด้วยเมนูหลักอย่าง “แซลมอนคอนฟิต” เนื้อนุ่มที่คัดสรรมาอย่างดี ราดด้วยฮอลแลนเดสซอสทาร์รากอนรสเข้มข้น และซอสส้ม เสิร์ฟคู่กับมันบดเนื้อเนียนและครัคเกอร์ทรอปิกา เพิ่มความหวานให้เต็มจานด้วยเบบี้แครอต และจบมื้ออร่อยด้วยของหวาน “โมจิชาไทยหอมหวาน” ตามด้วย “ทูเล่มะพร้าวกรอบ” และ “เชอร์เบทตะไคร้”
ประสบการณ์การรับประทานอาหารท่ามกลางความมืดทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วกับคำที่ว่า ‘ถ้าประสาทสัมผัสด้านใดด้านหนึ่งของเราถูกปิด ประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ ของเราจะทำงานได้ดีขึ้น’ ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ดี กระตุ้นความรู้สึกต่างๆ เพราะเราต้องดม ชิม จับ และฟังในขณะรับประทานอาหาร โดยปกติเราจะเชื่อว่า สายตาเป็นเสมือนประตูด่านแรกสู่ความอร่อย สายตาจะเริ่มรับประทานอาหารโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือรับประทานอาหารทางสายตามากกว่ากวารลิ้มรสจริงๆ เสียอีก
เพราะหน้าตาของอาหารทำให้เราตัดสินรสชาติไปโดยปริยาย แต่ดีไอดีพาเราออกจากความเชื่อนั้น เพราะแม้เราจะมองไม่เห็นอาหาร แต่ก็สามารถใช้ประสาทสัมผัสอื่นสู่ความอร่อยได้เช่นกัน การรับประทานอาหารท่ามกลางความมืดจึงถือเป็นประสบกาณ์ที่น่าจดจำ อีกทั้งยังได้เป็นการสวมบทบาทเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาชั่วคราว เพื่อให้เกิดความเข้าใจในโลกของผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา
‘ไดน์ อิน เดอะ ดาร์ค’ เปิดให้บริการทุกวันพุธถึงเสาร์ ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. โดยจะบริจาครายได้ส่วนหนึ่งจากมื้อหารเพื่อสนับสนุนสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สู่การสร้างสังคมที่เข้าใจและโอบรับความแตกต่างอย่างแท้จริง