ปัจจัยสำคัญต่อการเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่ของผู้บริโภค ประกอบด้วย ราคารถยนต์ ความพึงพอใจในแบรนด์ จำนวนศูนย์บริการ และค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา
จากประสบการณ์ที่มีโอกาสพูดคุยกับนักการตลาดของค่ายรถยนต์ต่างๆ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยคงหนีไม่พ้นเรื่องราคารถยนต์ บ่อยครั้งเราจะได้ยินเสียงบ่นจากผู้บริโภคไทยว่า “ราคารถที่ขายในไทยแพงมาก เพราะภาครัฐเก็บภาษีสูง” และหากเป็นผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถยนต์นำเข้าที่ผลิตจากญี่ปุ่น อเมริกา หรือเยอรมนี เสียงบ่นจะดังกระหึ่มเป็นสองเท่าว่า “ราคารถแพงมาก รถยนต์รุ่นนี้ ถ้าขายในต่างประเทศราคาล้านกว่าๆ แต่พอนำเข้ามาขายในไทยราคาเพิ่มเป็น 2-3 ล้านบาท เพราะภาครัฐเก็บภาษีนำเข้าสูง”
รถยนต์ที่ขายในไทยมีราคาแพงเพราะภาครัฐเก็บภาษีสูง?
ภาษีที่ผู้บริโภคไทยต้องจ่ายเมื่อซื้อรถยนต์ (Acquisition Cost) ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยรถยนต์จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่มีผลเสียต่อสุขภาพและสังคมจึงต้องถูกเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกันไปตามประเภทรถยนต์ ส่วนภาษีมหาดไทยสำหรับนำไปบริหารประเทศนั้น จะจัดเก็บในอัตราคงที่ 10% ของภาษีสรรพสามิต เช่น ถ้าอัตราสรรพสามิต 20% ก็ต้องถูกเก็บภาษีมหาดไทยอีก 2% ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มจะจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 ของต้นทุนการผลิตรถยนต์ ซึ่งรวมภาษีสรรพสามิตและภาษีมหาดไทยเข้าไปด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่าถ้าอัตราภาษีสรรพสามิตสูง มูลค่าของภาษีมหาดไทยและภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเพิ่มสูงตามไปด้วย ดังนั้น ภาษีหลักที่ผู้บริโภคบ่นว่าภาครัฐเก็บในอัตราสูง จึงหมายถึงภาษีสรรพสามิตนั่นเอง
รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์เชิงพาณิชย์ (เช่น รถปิกอัพ) เมื่อใช้ขับขี่จะมีการปล่อยสารมลพิษจากท่อไอเสียออกสู่ภายนอก เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ไฮโดรคาร์บอน (HC), ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และฝุ่นละออง (PM2.5) สารมลพิษเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ รถยนต์ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน/โลกเดือด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงอีกด้วย รถยนต์จึงเป็นสินค้าที่มีผลเสียต่อสุขภาพและสังคม ต้องถูกเก็บภาษีสรรพสามิต
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ในปัจจุบัน ทั้งรถยนต์ที่ผลิตในประเทศและรถยนต์นำเข้า จะจัดเก็บตามอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 และมาตรฐานความปลอดภัยเชิงป้องกัน โดยรถยนต์ที่มีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำ และมีมาตรฐานความปลอดภัยเชิงป้องกันหรือระบบเบรกห้ามล้อ จะถูกเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ปล่อยก๊าซ CO2 สูง หรือไม่มีระบบห้ามล้อ ตัวอย่างเช่น รถยนต์นั่งที่ปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำกว่า 150 กรัมต่อกิโลเมตร และมีระบบเบรกห้ามล้อ จะจัดเก็บในอัตรา 20-25% ในขณะที่รถยนต์นั่งที่ปล่อยก๊าซ CO2 มากกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร และไม่มีระบบเบรกห้ามล้อ จะจัดเก็บในอัตรา 30-35%
ตัวเลขอัตราภาษีสรรพสามิต 20-35% อาจถูกมองว่า เป็นอัตราที่สูงเกินไป แต่เมื่อเทียบกับผลกระทบของการใช้รถยนต์ต่อสุขภาพของประชาชนไทย โดยเฉพาะประชาชนที่เดินไปมาบนท้องถนน แต่ต้องรับผลกระทบจากรถยนต์ที่พวกเขาไม่ได้ใช้งาน อาจจะตอบได้ยากว่าอัตราภาษีเท่าไรจึงจัดว่าสูง
อย่างไรก็ตาม สำหรับรถยนต์บางประเภท ภาครัฐได้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ เช่น รถปิกอัพซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการประกอบอาชีพของชาวนาหรือเกษตรกร ใช้ในการขนส่งสินค้าเกษตรและการประกอบกิจการ (รถปิกอัพประเภท No Cab ที่ปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะจัดเก็บในอัตรา 2.5%) หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยสารมลพิษและก๊าซ CO2 เลย (รถยนต์ไฟฟ้าจะจัดเก็บในอัตรา 2%) เป็นต้น
รถยนต์สำเร็จรูปนำเข้าที่ผลิตจากต่างประเทศ ต้องจ่ายอากรนำเข้าเพิ่มขึ้น
ประเทศไทยจัดเก็บอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจากต่างประเทศอยู่ที่ 80% ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถกำหนดได้โดยไม่ขัดกับกฎระเบียบของ WTO อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement) ประเทศไทยก็ได้ยกเว้นหรือลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปให้กับประเทศคู่ค้าในอัตราที่แตกต่างกัน เช่น การยกเว้นอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทุกขนาดภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือการลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปที่มีขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซีซี จากญี่ปุ่น เหลือเพียง 60% ภายใต้เขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น
ผู้บริโภคที่นิยมซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ อาจมองว่าเมื่อคำนวณอากรนำเข้า 60-80% บนราคา CIF (ราคารถยนต์+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่ง) รวมเข้ากับภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย ทำให้รถยนต์นำเข้ามีราคาสูงมาก บางรุ่นราคาเป็น 2 เท่าของราคาขายในต่างประเทศ แต่จากมุมมองของภาครัฐนั้น การเก็บอากรนำเข้าในอัตรานี้ ทำให้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศมีความได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับรถยนต์นำเข้า ผู้บริโภคจึงมีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ที่ผลิตในประเทศมากขึ้น
โดยตลอดระยะเวลา 60 ปีของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย การกำหนดอากรนำเข้าในระดับสูงถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดการลงทุนผลิตรถยนต์ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ และเป็นการควบคุมปริมาณรถยนต์นำเข้าไม่ให้มีจำนวนมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อดุลการค้าและเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และมีผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำเกือบทุกค่ายมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย
บทความนี้อาจจะไม่ได้ตอบชัดเจนว่า รถยนต์ที่ขายในไทยมีราคาแพงไปหรือไม่? หรือภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บมีอัตราสูงหรือไม่? แต่ต้องการบอกว่าทำไมภาครัฐต้องจัดเก็บภาษี บนหลักการเหตุผลอะไร อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าในการใช้งานรถยนต์คันหนึ่ง ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาต้นทุนการใช้รถยนต์ทั้งหมด (Total Cost of Ownership) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ ต้นทุนที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อรถยนต์ (Acquisition Cost) ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตเป็นหลัก ส่วนที่ 2เป็นค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ ซึ่งได้แก่ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซม และค่าต่อทะเบียนรถยนต์ โดยภาครัฐก็มีการจัดเก็บภาษีจากการใช้รถยนต์ด้วยเช่นกัน แต่เป็นอัตราที่ต่ำ ได้แก่ ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง และภาษีรถยนต์ประจำปี)
โดยสรุปแล้ว โครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการใช้รถยนต์ทั้งหมดของไทย สนับสนุนให้ผู้บริโภคไทย “ซื้อรถยาก แต่ใช้รถนาน” ซึ่งแตกต่างจากนโยบายของบางประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ซึ่งออกแบบโครงสร้างภาษีโดยให้มีต้นทุนซื้อรถยนต์ต่ำ แต่ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์สูง ทำให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมเปลี่ยนรถบ่อย หรือ “ซื้อรถง่าย แต่ใช้รถไม่นาน”
คงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ผู้บริโภคไทยพร้อมจะเปลี่ยนแปลงหรือยัง?