ข่าวดี! สธ.แจ้ง “โควิด-ไข้หวัดใหญ่” พ้นช่วงระบาดสูงสุด เข้าสู่ขาลง ยันทีมแพทย์พร้อมรับมือ ยาเวชภัณฑ์ เพียงพอดูแลผู้ป่วย-กลุ่มเสี่ยง ย้ำยึดแนวปฏิบัติป้องกันเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย
2 มิ.ย. 68 – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ว่า ได้รับรายงานการระบาดช่วงวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2568 มีผู้ป่วยรายใหม่ 65,880 ราย เสียชีวิต 3 ราย โดยพบว่า กลุ่มอายุ 30 – 39 ปี เป็นกลุ่มป่วยสูงสุด 12,403 ราย รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 20 – 29 ปี จำนวน 10,368 ราย กลุ่ม 60 ปีขึ้นไป 9,590 ราย โดยโควิด-19 ยังระบาดต่อเนื่องในช่วงฤดูฝน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อประชาชนเห็นตัวเลขการระบาดที่สูงเป็นหลักหมื่นราย ก็ย่อมทำให้เกิดความตระหนกได้ จึงได้เน้นย้ำบุคลากรทางการแพทย์ให้เตรียมความพร้อมในการรับมือ โดยเฉพาะยาเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้เพียงพอสำหรับดูแลผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง
เน้นย้ำว่า ประชาชนยังคงยึดถือแนวปฏิบัติมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด การสวมหน้ากากอนามัยหากไปในสถานที่เสี่ยง สถานที่ที่มีคนรวมกันเป็นหมู่มาก หากมีอาการน่าสงสัยว่าจะป่วย ควรตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK เพื่อไม่เป็นการนำเชื้อกลับไปติดกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว
“ยืนยันว่า บุคลากรทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ยาของ สธ. มีความพร้อมในการดูแลพี่น้องประชาชน ขอให้มั่นใจ และดูแลรักษาสุขภาพ แต่เพื่อความปลอดภัยก็ขอให้ยึดถือแนวปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงการนำมือมาจับหน้า ตา จมูกและปาก รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ งดรับประทานของดิบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือไข่ก็ตาม หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัดและไม่มีอากาศถ่ายเท ทั้งนี้ กองระบาดวิทยารายงานมาว่า แนวโน้มการระบาดเริ่มลดลงและเลยช่วงของการระบาดสูงสุดมาแล้ว” รมว.สาธารณสุข กล่าว
รัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ก็มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยเป็นโรคระบาดประจำถิ่นที่พบผู้ป่วยทุกปี กลุ่มอายุที่ป่วยมากที่สุดคือเด็กอายุ 5-9 ขวบ แต่อัตราการเสียชีวิตมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือคนที่มีโรคประจำตัว
ช่วงที่ผ่านมา มีการระดมฉีดวัคซีนให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสูญเสียลดลงด้วย โดยเป้าหมายการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในปีงบประมาณ 2568 ขยายการฉีดวัคซีนจาก 4.5 ล้านโดส เป็น 6 ล้านโดส