จังหวัดเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ไม่เคยตกอันดับในใจนักเดินทาง ทั้งด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขาเขียวขจี และอากาศเย็นสบาย แต่สิ่งที่ทำให้เชียงใหม่แตกต่างและลึกซึ้งกว่าเพียงภาพที่มองเห็น คือวัดวาอารามหลายแห่งที่ประดับเมืองไว้ดั่งอัญมณีแห่งศรัทธา เพราะไม่เพียงแค่สะท้อนให้เห็นถึงความประณีตของสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่สะท้อนภูมิปัญญาชาวล้านนา วัดในเชียงใหม่ยังเป็นพื้นที่แห่งจิตวิญญาณ ที่ผู้คนแวะเวียนมาเพื่อยึดเหนี่ยวใจ เติมพลังศรัทธา และขอพรให้ชีวิตสมหวังตามปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การงาน สุขภาพ หรือโชคลาภ
การเดินทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเชื่อและศรัทธาครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิดสำคัญที่กระทรวงวัฒนธรรมมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในมิติเชิงลึก โดยได้ลงพื้นที่สำรวจเส้นทาง “สายมู–สายอาร์ต” ในจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่เน้นการเชื่อมโยงองค์ประกอบสำคัญของท้องถิ่นอย่าง ศรัทธา ศิลปะ และภูมิปัญญา เข้าด้วยกันเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังมุ่งยกระดับอัตลักษณ์ของชุมชนให้โดดเด่น พร้อมสร้างรายได้และเสริมพลังให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
เมื่อถึงเชียงใหม่ เริ่มต้นเส้นทางสายมู–สายอาร์ต ที่วัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม พระอารามหลวงเก่าแก่ที่เปี่ยมด้วยพลังศรัทธาและความงดงามทางสถาปัตยกรรม ตั้งอยู่บนถนนสุเทพ ท่ามกลางชุมชนเก่าแก่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ วัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นดั่งคลังประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองล้านนา ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ผู้ทรงโปรดให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 1914 เพื่อถวายแด่ พระสุมนเถระ จากเมืองสุโขทัย และเพื่อเป็นวัดประจำเวียงสวนดอก ซึ่งเคยเป็นเขตพระราชอุทยานในอดีต
สิ่งที่โดดเด่นคือ เจดีย์วัดสวนดอก ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1916 ด้วยศิลปะผสมผสานระหว่างลังกาและสุโขทัยอย่างลงตัว ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากสุโขทัย เป็นหนึ่งในองค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงในแผ่นดินล้านนา ภายในวัดร่มรื่น เงียบสงบ สะท้อนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่อย่างลึกซึ้ง เดินชมรอบบริเวณคุณจะได้พบกับ หมู่โกฏิเก็บอัฐิของเจ้านายฝ่ายเหนือ ที่เรียงรายด้วยความสง่างาม และพระเจ้าเก้าตื้อพระประธานขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหาร
วัดสวนดอกยังเคยผ่านยุคสมัยของความร้างและฟื้นฟูหลายครั้ง ครั้งสำคัญคือในสมัยพระเจ้ากาวิละ แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2450 พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงโปรดให้รวบรวมพระอัฐิเจ้าผู้ครองนครและพระประยูรญาติ มาประดิษฐานไว้ที่นี่ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมใจของชาวเชียงใหม่
มาถึงวัดที่สอง หากพูดถึงเชียงใหม่ หนึ่งในสถพระเจ้าเก้าตื้อพระประธานในวิหารานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรพลาดก็คือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร วัดชื่อดังที่ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียงราว 15 กิโลเมตร แม้เส้นทางจะคดเคี้ยวขึ้นเขาเล็กน้อย แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยวิวธรรมชาติที่สวยงาม จนเผลอหลับแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
เมื่อมาถึงด้านล่างของวัด นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะเดินขึ้นบันไดนาคประมาณ 306 ขั้น หรือใช้บริการลิฟต์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 20 บาท ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติใช้บริการกันอย่างคึกคัก บางก็เดินขึ้นบันไดตามแรงกายศรัทธา พอขึ้นมาถึงด้านบน ความอลังการของ องค์พระธาตุดอยสุเทพ ก็ปรากฏตรงหน้าอย่างสง่างาม องค์เจดีย์สีทองตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัด ล้อมรอบด้วยวิหารทั้งสี่ทิศ
สถาปัตยกรรมของพระธาตุเป็นแบบเชียงแสน ก่ออิฐถือปูนแล้วบุด้วยทองเหลือง ปิดทองคำเปลวอย่างวิจิตรงดงาม เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม ที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมศรัทธา ของชาวเชียงใหม่และพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลก ใครที่ได้มาเยือน มักจะไม่พลาดที่จะเดินเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ พร้อมอธิษฐานขอพรให้ชีวิตราบรื่น และชมวิวเมืองที่เห็นความสวยงามของสนามบินเชียงใหม่ด้วย
วัดที่สาม วัดโลกโมฬี วัดโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 500 ปีแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในอัญมณีทางสถาปัตยกรรมของเมือง ที่ยังคงสะท้อนถึงศิลปะและวัฒนธรรมล้านนาไว้อย่างชัดเจน แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่ชื่อของวัดโลกโมฬีได้ปรากฏในตำนานของวัดพระธาตุดอยสุเทพ ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 1910 ในรัชสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในล้านนา จึงได้อัญเชิญพระอริยสงฆ์จากเมืองมอญมายังเชียงใหม่ และจัดตั้งวัดโลกโมฬีเพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองแขกเมืองจากต่างแดน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2070 พระเกษเกล้า กษัตริย์แห่งเชียงใหม่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหัวเวียงขึ้นเป็นวัด และสร้างเจดีย์กับวิหารขึ้นภายในวัดโลกโมฬี เจดีย์ทรงปราสาทซึ่งสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2071 ได้กลายเป็นศูนย์รวมศรัทธาของผู้คน โดยภายในบรรจุพระอัฐิของพระเกษเกล้า และเป็นตัวอย่างอันงดงามของสถาปัตยกรรมล้านนา ทั้งรูปทรงระฆัง บัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ซุ้มจระนำ และลวดลายแกะสลักที่วิจิตรตระการตา
อีกหนึ่งไฮไลต์คือ วิหารหลวงไม้สัก ที่งดงามและเปี่ยมด้วยความศรัทธา วิหารหลังนี้ถูกบูรณะขึ้นจากวัดร้าง สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังตามแบบฉบับล้านนา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ และมีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนพระเมาลีเมื่อปี พ.ศ. 2546 ยิ่งเสริมให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนทั่วสารทิศ ภายในวัดยังมี มณฑปพระนางจิรประภามหาเทวี ที่ประดิษฐานพระรูปของพระองค์ผู้มีบทบาทสำคัญในการอุปถัมภ์วัดโลกโมฬีในอดีต การสร้างมณฑปนี้ทำให้ผู้มาเยือนระลึกถึงคุณูปการและคุณงามความดีของพระนางจิรประภา ที่ยังคงอยู่ในใจชาวล้านนาจนถึงปัจจุบัน
เดินทางไปต่อวัดที่สี่ วัดเกตการาม หรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า วัดสารเกษ เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน สมัยที่เชียงใหม่ยังเป็นเมืองการค้ารุ่งเรืองริมฝั่งแม่น้ำปิง เดิมทีที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางย่านการค้า มีทั้งชาวจีนและชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างคึกคัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ก็พลิกผัน จากความรุ่งเรืองกลายเป็นความเงียบเหงา โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2432 ที่เกิดกบฏพระยาปราบสงคราม ทำให้ผู้คนโดยเฉพาะชาวจีนที่เคยตั้งรกรากในย่านนี้ ต้องลี้ภัยและย้ายออกไปอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ จากนั้นการค้ามาทางน้ำก็เริ่มซบเซา จนย่านวัดเกตกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยเงียบ ๆ แทน แต่ปัจจุบัน ในวัดกลับเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ พระธาตุวัดเกต หรือ เจดีย์จุฬามณี ที่เป็นจุดศูนย์รวมศรัทธาของผู้ที่เกิดปีจอ คนท้องถิ่นเชื่อกันว่า เจดีย์แห่งนี้จำลองมาจากเจดีย์จุฬามณีที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่บรรจุเครื่องทรงและพระเมาฬีของเจ้าชายสิทธัตถะในวันที่ทรงออกผนวช จึงเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาเคารพบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล
ส่วนพระวิหารของวัด ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นอาคารอิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีความวิจิตรงดงามด้วยลวดลายไทยและองค์ประกอบแบบล้านนา เสาหัวเสาประดับด้วยแก้วอังวะที่ส่องประกายเมื่อต้องแสงแดดยามเช้า ภายในวิหารเงียบสงบ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอย่างสง่างาม
เย็นวันเสาร์ในเชียงใหม่ หากได้มาเดินเล่นที่ถนนคนเดินวัวลาย นอกจากของกิน ของฝาก และดนตรีสดแล้ว อย่าลืมแวะตรอกเล็ก ๆ ที่ซ่อน วัดศรีสุพรรณ ไว้อย่างงดงาม จุดเด่นของวัดคือ อุโบสถเงินหลังแรกของโลก ที่ตกแต่งด้วยแผ่นเงินแกะลายทั้งภายนอกและภายใน สะท้อนความวิจิตรของฝีมือช่างเงินในชุมชนวัวลาย ด้านหน้าอุโบสถมี “ท้าวเวสสุวรรณเงินคู่” ยืนเด่น เป็นที่เคารพของผู้มาขอพรเรื่องโชคลาภและปัดเป่าสิ่งไม่ดี
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2043 ในรัชสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว เดิมชื่อวัดศรีสุพรรณอาราม และยังคงรักษาเอกลักษณ์ล้านนาไว้ได้อย่างงดงาม นอกจากอุโบสถเงิน ภายในยังมีวิหารเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะผสมผสานศิลปะร่วมสมัยโดยไม่ทิ้งกลิ่นอายล้านนาดั้งเดิม ด้วยทำเลของวัดที่ตั้งอยู่กลางชุมชนหัตถกรรมเครื่องเงินของถนนวัวลาย หากชอบงานฝีมือหรือต้องการชมการตีเงินแบบดั้งเดิม ก็สามารถแวะเวิร์กช็อปและร้านช่างหล่อในละแวกนี้ได้เช่นกัน