ยกระดับดูแล 'หัวใจล้มเหลว'ผ่านแนวทาง Service Plan ลดอัตราเสียชีวิต
GH News June 10, 2025 03:09 PM

ในขณะที่โรคเรื้อรังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ภาวะหัวใจล้มเหลวคืออีกหนึ่งโรคสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับการตระหนักรู้และให้ความสำคัญ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ภาวะนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโดยตรง แต่ยังก่อให้เกิดภาระต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ และสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับองค์ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน

ด้วยเหตุนี้ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข (Service Plan สาขาโรคหัวใจ) และบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ดำเนิน “โครงการความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวแบบครบวงจร (Collaborative Excellence in Heart Failure Management)” เพื่อพัฒนาดัชนีชี้วัดด้านการบริการและการรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ยกระดับมาตรฐานการดูแลรักษา และเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายสุขภาพที่เข้มแข็งทั่วประเทศ เป้าหมายสำคัญคือเพื่อลดอัตราการสูญเสียทั้งในด้านชีวิตและทรัพยากร และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

พล.ต.ต. นพ.เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า โรคหัวใจยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรโลก โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี คิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจล้มเหลวและโรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลว มีแนวโน้มเสียชีวิตสูงถึง 50% ภายในระยะเวลา 5 ปี

พล.ต.ต. นพ.เกษม รัตนสุมาวงศ์

นายกสมาคมฯ กล่าวต่อว่า ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ยังเป็นปัญหาระดับโลกด้วย โดยมีสาเหตุหลักอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1.แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว

2.อัตราการเสียชีวิตสูง จากข้อมูลในประเทศไทย ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากภาวะหัวใจล้มเหลวมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 5–10% ภายในระยะเวลาสั้น และมากถึง 50% ภายในระยะเวลา 5 ปีหลังจากนอนโรงพยาบาลครั้งแรก ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงใกล้เคียงกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และ3.อัตราการกลับมารักษาซ้ำสูง

“แม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาแล้ว แต่อัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลภายใน 1 เดือนอยู่ที่ประมาณ 13%(ตัวเลขเฉลี่ยทั่วโลก) และในบางประเทศหรือบางการศึกษาในไทย ตัวเลขอาจสูงถึงเกือบ 30% โดยภายใน 1 ปี ผู้ป่วยมากกว่า 50% ต้องกลับมารับการรักษาซ้ำ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ครอบครัว และระบบเศรษฐกิจสาธารณสุขของประเทศ” นายกสมาคมฯ กล่าว

การดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยจึงดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.สร้างความตระหนักรู้ในสังคม 2.การรักษาที่ได้มาตรฐานและ 3.การดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ และการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรอื่น ๆ ผ่านการจัดตั้งคลินิกหัวใจล้มเหลว (Heart Failure Clinic) ในโรงพยาบาลต่าง ๆ และเผยแพร่ความรู้ผ่านเว็บไซต์ ThaiHealthyHeart.com สำหรับประชาชน

 นายกสมาคมฯ กล่าวอีกว่า โดยโครงการนี้จะส่งเสริมการดูแลในเชิงนโยบาย แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ระยะที่ 1 วางแผน กำหนดยุทธศาสตร์ และตัวชี้วัดที่เหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละโรงพยาบาล และระยะที่ 2 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผล เริ่มจาก 4 เขตสุขภาพ จากทั้งหมด 13 เขตทั่วประเทศ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 1, 6, 7 และ 11 ภายในปลายปี 2568 และมีแผนขยายการดำเนินงานครอบคลุมทั่วประเทศในระยะถัดไป

นพ. สิทธิลักษณ์ วงษ์วันทนีย์

ด้านนพ. สิทธิลักษณ์ วงษ์วันทนีย์ รองผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ เลขานุการ Service Plan สาขาโรคหัวใจกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสะสมมากกว่า 250,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวกว่า 40,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน สถานการณ์ที่น่ากังวลนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการวางยุทธศาสตร์สุขภาพที่ชัดเจนและเข้มแข็ง เพื่อรับมือกับโรคหัวใจซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ

นพ. สิทธิลักษณ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการป้องกัน การวินิจฉัย และการรักษาโรคหัวใจอย่างเป็นระบบ เช่น การพัฒนาและเผยแพร่สื่อความรู้แก่ประชาชน การจัดตั้งระบบสายด่วนฉุกเฉิน 1669 ที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการวางแผนระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ด้านโรคหัวใจ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง

ในด้านการพัฒนาระบบบริการรักษา กระทรวงฯ ได้แบ่งโรงพยาบาลในสังกัดกว่า 900 แห่งทั่วประเทศออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ โรงพยาบาลระดับ S มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวให้การดูแลขั้นพื้นฐาน, โรงพยาบาลระดับ A มีแพทย์เฉพาะทางในสาขาหลัก และโรงพยาบาลระดับ P  เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีแพทย์โรคหัวใจเพียงประมาณ 180 คน ซึ่งกระจายอยู่ในประมาณ 60 โรงพยาบาลเท่านั้น จากทั้งหมด 905 โรงพยาบาล ทำให้ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษา โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล

นพ. สิทธิลักษณ์ กล่าวถึงข้อมูลล่าสุดระบุว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Acute Coronary Syndrome) มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลถึง 58,000 รายในปี 2567 โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 8.6% แม้จะลดลงจากอดีต แต่ยังพบความเหลื่อมล้ำระหว่างเขตสุขภาพ เช่น บางพื้นที่มีอัตราตายสูงถึง 13% ในขณะที่บางพื้นที่ต่ำเพียง 6% ภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากโรคหัวใจ พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลเพิ่มจาก 110,000 รายในปี 2563 เป็น 140,000 รายในปี 2567 อัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% และอาจสูงถึง 8–10% ในโรงพยาบาลทั่วไป ขณะที่อัตราการเสียชีวิตภายใน 1 ปีหลังกลับบ้านอาจสูงถึง 30–50%

“เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงการรักษาและยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย ความร่วมมือของภาคีพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมในครั้งนี้จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และสามารถเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง” นพ. สิทธิลักษณ์ กล่าว

พญ. อรวรรณ อนุไพรวรรณ

พญ. อรวรรณ อนุไพรวรรณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันทรวงอก กล่าวเสริมว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจจำเป็นต้องอาศัยทีมสหสาขาวิชาชีพ ไม่จำกัดเฉพาะแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพยาบาล นักเทคโนโลยีหัวใจ นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ และบุคลากรด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสถาบันฯ มีบทบาทในการให้ความรู้และอบรมทีมสหวิชาชีพเหล่านี้ รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนจากทั้งโรงพยาบาลภาครัฐในเขตสุขภาพ และโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง

“การร่วมมือกับคณะทำงาน Service Plan สาขาโรคหัวใจ ภายใต้กรมการแพทย์ ในการพัฒนาโครงการ Mini Service Plan ด้านโรคหัวใจ โดยมุ่งเน้นที่การยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome) และภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีจำนวนมากและยังเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาที่มีมาตรฐาน ยังครอบคลุมถึงการเป็นศูนย์ฝึกอบรม (Training Center) และหน่วยนิเทศงานด้านโรคหัวใจ  เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เครือข่ายสุขภาพทั้ง 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลว และหัวใจเต้นผิดจังหวะ” พญ. อรวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโปรแกรม Thai DCS Registry เพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอย่างเป็นระบบ โดยมีการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับกองตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงผลลัพธ์ทางคลินิก และพัฒนาการให้บริการในอนาคต รวมถึงจัดทำคู่มือ หนังสือ และสื่อวิชาการต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้จริง  เพื่อให้แนวทางดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามบริบท ขนาด และศักยภาพของแต่ละโรงพยาบาล

โรมัน รามอส

โรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า การร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบริษัทที่ต้องการอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี โดยแอสตร้าเซนเนก้าจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรอย่างใกล้ชิดในการสนับสนุนทรัพยากร เพื่อเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการอบรมองค์ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกับแผนเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ตลอดจนสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบสาธารณสุขในประเทศไทยเพิ่มความมั่นคงและยั่งยืน

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.