โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (Coronary Artery Disease) เป็นโรคที่ถูกขนานนามว่า “ฆาตกรเงียบ” เพราะสามารถพรากชีวิตคนไปได้อย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ผู้ป่วยจะเคยผ่านการรักษาอย่างจริงจังมาแล้วในอดีตก็ตาม
ข้อมูลจากสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ระบุว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละกว่า 20,000 ราย คิดเป็น 2 รายต่อชั่วโมง
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 4-5 แสนราย
“โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน” จึงไม่ใช่การรักษาเพียงครั้งเดียว แต่คือการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้โรคย้อนกลับมาทำร้ายเราอีก
สาเหตุของโรคเกิดจากการสะสมของไขมันและคราบหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ
หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือด หรือรุนแรงจนหัวใจวายเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ
กลุ่มที่ยังไม่เคยมีอาการ หรือไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน เช่น คนวัยทำงาน คนรุ่นใหม่ที่ดูแข็งแรง ไม่มีประวัติเจ็บป่วย แต่อาจมีปัจจัยเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว หรือรู้แต่ไม่ได้ควบคุมปัจจัยเสี่ยงนั้น
กลุ่มที่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจ แม้จะได้รับการรักษาไปแล้ว เช่น เคยทำบอลลูนหัวใจ ผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจสูงกว่ากลุ่มแรก หากไม่ควบคุมพฤติกรรมและโรคร่วมอย่างจริงจัง
ที่น่ากังวลคือ แนวโน้มผู้ป่วยอายุน้อยมีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยเสี่ยงแอบแฝง เช่น สูบบุหรี่ (รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า) ใช้สารเสพติด (กัญชา ยาบ้า แอมเฟตามีน) ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เครียดเรื้อรัง และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะในสังคมเมือง รวมถึงมลพิษ PM 2.5 ปัจจัยเร่งทำให้เกิดโรคดังกล่าวเร็วขึ้น
อาการแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
รายที่เกิดแบบเฉียบพลัน (Acute Myocardial Infarction) อาจไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า จะรู้สึกแน่นกลางหน้าอกเหมือนถูกกดทับ เหงื่อแตก ตัวเย็น หน้ามืด ปวดร้าวแขนซ้ายหรือกราม มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งขณะที่พักผ่อน หรือหลังออกแรง หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที หัวใจอาจหยุดเต้นและเสียชีวิตทันที
แบบเรื้อรัง (Chronic Coronary Syndrome) ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได ยกของหนัก ออกกำลังกาย อาจรู้สึกแน่นหน้าอก จุกบริเวณลิ้นปี่ ผู้ป่วยบางรายมักมองข้ามคิดว่าเป็นแค่อาการเหนื่อยปกติ จนปล่อยให้โรคดำเนินไปอย่างช้า ๆ
สำคัญที่สุดคือ “การป้องกัน” และรู้เท่าทันกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปี
หากตรวจพบความเสี่ยงแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถวางแผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเกิดเหตุการณ์เฉียบพลันได้
การตรวจคัดกรองหัวใจช่วยให้พบความผิดปกติได้ โดยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงรายบุคคล (Heart Risk Assessment) เช่น เจาะเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อวัดปริมาณแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score) ตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกายบนสายพาน (Exercise Stress Test)
หากพบความผิดปกติ แพทย์จะตรวจเพิ่ม โดยฉีดสีหลอดเลือดหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA Coronary Artery) หรือการสวนหัวใจฉีดสี (Coronary Angiogram) เพื่อประเมินความรุนแรง และวางแผนรักษาอย่างเหมาะสม ลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
โรคหลอดเลือดหัวใจจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป