'ซอฟต์พาวเวอร์จีน' กำลังขยายตัวแซงหน้าสหรัฐภายใต้ทรัมป์
bangkokbiz June 26, 2025 02:42 PM

ในยุคที่อำนาจแบบอ่อนหรือ Soft Power กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จีนกำลังขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไปทั่วโลกผ่านแบรนด์และสินค้าของตัวเอง ในขณะที่อเมริกาซึ่งเคยครองตำแหน่งผู้นำด้านซอฟต์พาวเวอร์มาหลายทศวรรษ กลับเริ่มสูญเสียอิทธิพลและเผชิญความท้าทายอย่างรุนแรงภายใต้การนำของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์"

การขยายตัวของแบรนด์จีนสู่เวทีโลก

ปรากฏการณ์ "Made in China" ได้พัฒนาไปไกลกว่าการเป็นเพียงฐานการผลิตต้นทุนต่ำ วันนี้แบรนด์จีนกำลังสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ที่แข็งแกร่ง พร้อมขยายตลาดไปทั่วโลกด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาแข่งขันได้

Pop Mart ผู้ผลิตตุ๊กตา Labubu ขณะนี้มีร้านค้าในมากกว่า 20 ประเทศ รวมถึงอย่างน้อย 37 สาขาในอเมริกา ความสำเร็จของตุ๊กตาหน้าตาเหมือนเอลฟ์เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเอเชีย แต่ได้รับความนิยมจากเซเลบริตี้ระดับโลกอย่างเดวิด เบคแฮมและริฮานน่า

นอกจากนี้ Mixue เครือข่ายเครื่องดื่มเย็นที่เริ่มจากแผงขายน้ำแข็งไสในมณฑลยากจนของจีน ขณะนี้แผ่ขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความสำเร็จของแบรนด์จีนในการเข้าถึงผู้บริโภคระดับฐานราก

Chagee แบรนด์ชาที่เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อเดือน เม.ย. วางแผนขยายร้านนอกจีนให้ถึง 1,300 สาขาภายในสิ้นปี 2027 เพิ่มขึ้นจากเกือบศูนย์เมื่อสี่ปีก่อน แบรนด์นี้ไม่ได้แข่งด้วยราคาถูก แต่โปรโมตตัวเองเป็น "แบรนด์พรีเมียม" ที่สามารถขายชาลาเต้ในราคาเทียบเท่า Starbucks

 

\'ซอฟต์พาวเวอร์จีน\' กำลังขยายตัวแซงหน้าสหรัฐภายใต้ทรัมป์

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์อื่นๆ เช่น Laopu Gold ผู้ผลิตเครื่องประดับทอง Mao Geping เครื่องสำอางระดับไฮเอนด์ และ NIO, Li Auto ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบลักชูรี่ ที่ล้วนกำลังสร้างชื่อเสียงในตลาดสากล

ความยากลำบากของแบรนด์อเมริกันในจีน

ในขณะที่แบรนด์จีนกำลังก้าวไปข้างหน้า บริษัทอเมริกันหลายแห่งกลับเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่

Starbucks ยักษ์ใหญ่กาแฟอเมริกัน ถูกแบรนด์จีนอย่าง Luckin และ Cotti แซงหน้าด้วยกาแฟคุณภาพเทียบเท่าแต่ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะนี้ Starbucks รายงานว่าแสวงหานักลงทุนท้องถิ่นเพื่อช่วยฟื้นฟูธุรกิจในจีนเพื่อสร้างสินค้าที่เข้าถึงคนท้องถิ่นมากขึ้น

Häagen-Dazs แบรนด์ไอศกรีมหรูของ General Mills ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน โดยเฝ้าหาหุ้นส่วนท้องถิ่นเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนไปคล้ายกับ Starbucks

ส่วน Marriott International เครือข่ายโรงแรมอเมริกัน มีอัตราการเข้าพักในจีนลดลงต่ำกว่า 70% ทำให้จีนกลายเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีผลงานแย่ที่สุด ในขณะที่ H World โรงแรมจีน กลับสามารถรักษาอัตราการเข้าพักไว้ได้สูงกว่า 80%

แบรนด์หรูตะวันตกอย่าง Tiffany & CoL'Oréal, Estée Lauder ต่างก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งท้องถิ่นที่เสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเทียบเท่าในราคาที่แข่งขันได้มากกว่า

Lavazza กาแฟอิตาลี พยายามปรับตัวด้วยการขาย "กาแฟรังนก" แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างจำกัด

ปัจจัยเร่งความเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ผู้บริโภคจีนมีความรู้เรื่องสินค้ามากขึ้นผ่านโซเชียลมีเดีย พวกเขาเริ่มตระหนักว่าถูกบริษัทต่างชาติ "ฉ้อโกง" ด้วยการขายสินค้าในราคาสูงเกินจริงเพียงเพราะเป็นแบรนด์ต่างชาติ

แบรนด์จีนยุคใหม่ไม่ได้พยายาม "เลียนแบบตะวันตก" แต่กลับภูมิใจในเอกลักษณ์ความเป็นจีน พวกเขาเข้าใจตลาดท้องถิ่นดีกว่า รู้จักขยายธุรกิจในเมืองเล็กๆ ที่แบรนด์ต่างชาติมักมองข้าม และสำคัญที่สุดคือสามารถเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม

อิทธิพลของยุค "Make America Great Again"

ที่สำคัญการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐพร้อมกับนโยบาย "Make America Great Again" กลับกลายเป็นปัจจัยที่เร่งให้ซอฟต์พาวเวอร์อเมริกันอ่อนแอลงแทนที่จะแข็งแกร่งขึ้น

นโยบายการปกป้องและการแยกตัวทางการค้าของทรัมป์ ทำให้อเมริกาดูเป็น "ประเทศที่หันหลังให้โลก" ในขณะที่จีนแสดงท่าทีเปิดกว้างและพร้อมเป็นหุ้นส่วนทางการค้ากับประเทศต่างๆ การใช้ภาษาที่ดูแข็งกร้าวและการขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสูง ทำให้ภาพลักษณ์ของอเมริกาในสายตาคนทั่วโลกเสื่อมถอย

ในขณะเดียวกัน จีนใช้ "การทูตเศรษฐกิจ" (Economic Diplomacy) อย่างชาญฉลาด ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative และการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา แบรนด์จีนจึงได้รับการต้อนรับในหลายตลาดที่อเมริกาเริ่มสูญเสียอิทธิพล

อ้างอิง: The Economist 

 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.