โรคหลอดเลือดสมอง อันตรายเงียบ ไม่มียาป้องกัน แพทย์แนะ 7 ข้อที่ต้องรู้
Tidara D-life June 29, 2025 09:06 AM

โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก อันตรายเงียบที่ไม่มียาป้องกัน แพทย์โรงพยาบาลรามาฯ แนะ 7 ข้อที่ต้องรู้

เริ่มแล้วสำหรับงานแฟร์เพื่อสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศที่เครือมติชนผนึกกำลังกับโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ พร้อมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งพันธมิตรด้านสุขภาพ จัดงาน “Thailand Healthcare 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในทุกช่วงวัย ภายใต้ธีม ‘A Better Life : สร้างสุขทุกช่วงวัย’ ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน ถึง 29 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 – 20.00 น. ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าสนใจคือเวทีเสวนา เรื่อง “โรคหลอดเลือดสมอง อันตรายเงียบ ที่คุณต้องรู้” โดย รศ.นท.ดร.นพ.สรยุทธ ชำนาญเวช สาขาวิชาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

รศ.นท.ดร.นพ.สรยุทธ ให้ข้อมูลว่า ถ้าแปลความหมายโดยตรง Stroke (สโตรก) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด โดยเฉพาะด้านความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกตัว หรือการใช้งานของแขนขา เป็นต้น

สโตรก หรือโรคหลอดเลือดสมอง จะเเบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ประมาณ 80% ของคนที่เป็นสโตรก จะเกี่ยวกับภาวะสมองขาดเลือด และอีก 20% จะเป็นการมีเลือดออกในสมอง

เมื่อพบเห็นคนในครอบครัวมีภาวะสโตรก สิ่งแรกที่ควรทำคือให้ดูเรื่องการรู้สึกตัว ถ้าที่บ้านมีที่วัดความดันและสามารถวัดได้จะดีมาก โดยดูสัญญาณชีพไปพร้อม ๆ กับการนำตัวส่งโรงพยาบาล

แต่ถ้าพบคนไข้ที่เป็นสโตรกนอกสถานที่ อาจต้องดูก่อนว่าคนไข้มีความผิดปกติของหัวใจหรือไม่ หัวใจเต้นผิดปกติหรือไม่ และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น โทร 1669 เพื่อเคลื่อนย้ายคนไข้ให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ มี 7 ข้อด้วยกัน ถ้าจำได้ก็สามารถดูแลหรือจัดการโรคหลอดเลือดสมองได้ รศ.นท.ดร.นพ.สรยุทธ กล่าว

  • ต้องจดจำอาการ หรือ “FAST” ประกอบด้วย

F = Face ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว มีอาการชา มีน้ำลายไหลออกจากปากโดยไม่รู้ตัว

A = Arm มีแขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรก โดยจะไม่เป็นทั้งสองข้าง

S = Speech หรือการพูด อาจจะพูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง พูดแล้วลิ้นแข็ง แปลกจากเดิม

T= Time เมื่อสังเกตอาการได้แล้ว ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

  • เวลา เนื่องจากสมองคือเวลา และเวลาคือสมอง หากสงสัยว่ามีความผิดปกติของสมอง ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้ทันภายใน 3 ถึง 4 ชั่วโมงครึ่ง เนื่องจาก 80% ของสโตรก คือภาวะสมองขาดเลือด ถ้าไปโรงพยาบาลได้เร็ว แพทย์ก็จะให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ทันที ถ้าปล่อยให้เกิดภาวะสมองเสียหายไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำลายเซลล์ประสาทเป็นล้านเซลล์
  • อย่าเพิ่งให้อาหารหรือน้ำ เนื่องจากคนไข้ที่เป็นสไตรกส่วนมาก จะมีภาวะอัมพาตหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้น กล้ามเนื้อการกลืนก็จะได้รับผลกระทบด้วย จึงอาจสำลักได้ ซึ่งจะลุกลามไปสู่โรคปอดบวมหรือการติดเชื้อในช่องปอดได้
  • การควบคุมความดัน ซึ่งตรงนี้อาจเป็นบทบาทของแพทย์และพยาบาล โดยส่วนใหญ่ถ้าความดันโลหิตสูงเกิน 220 จะเริ่มลดความดันโดยค่อย ๆ ลด เนื่องจากการลดความดันในเวลาอันรวดเร็วนั้นอันตรายมาก ซึ่งแพทย์จะใช้ยาฉีดลดความดัน
  • ต้องป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะสมองบวม หรือความเสียหายที่จะมีต่อสมอง และการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดทุก 15 นาที
  • การฟื้นฟู แพทย์จะทำภายหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว เนื่องจากต้องจัดการภาวะที่มีความสำคัญต่อสมองก่อน
  • ต้องป้องกันไม่ให้เกิดรอบ 2 โดยต้องป้องกันผ่านการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือด เป็นต้น

“สโตรก เป็นภัยเงียบ ถ้ารู้จัก 7 ขั้นตอนนี้ ก็จะสามารถจัดการกับภาวะนี้ได้”

รศ.นท.ดร.นพ.สรยุทธ กล่าวอีกว่า อันที่จริงตามงานวิจัย สโตรก สามารถเกิดได้ตั้งแต่คนอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบัน มีการพบคนเป็นสโตรกในช่วงอายุที่น้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็ยังเป็นกลุ่มหลักที่เกิดสโตรก เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดที่เปลี่ยนไป ตลอดจนสิ่งเเวดล้อม และพฤติกรรมที่สั่งสมมานาน ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและหญิงในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน

โดย โรคเบาหวาน ความดัน และไขมัน ยังมัผลกับหลอดเลือด ซึ่งตรงไปตรงมาว่าโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เหล่านี้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองที่ผิดปกติ โดยมีงานวิจัยมากมายที่บ่งชี้ว่าถ้าควบคุมโรค NCDs เหล่านี้ได้จะลดความเสี่ยงของสโตรกได้

ทั้งนี้ หลังจากได้รับการรักษาโดยแพทย์แล้ว ต้นทุนของคนไข้ก่อนเข้ามาถึงโรงพยาบาลจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผลลัพธ์ของการรักษาจะเป็นอย่างไร ถ้าคนไข้มาแบบโคม่า โอกาสที่จะได้คนไข้คืนกลับมาก็อาจจะน้อย

ในส่วนของความทรงจำคนไข้ ถ้าความเสียหายอยู่ในสมองส่วนที่ลึกเข้าไป ก็อาจไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่ในระยะยาวสโตรกจะมีผลต่อความทรงจำ เพราะทำให้เซลล์สมองเสียหายไป

ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันหลังการรักษา ถ้าคนไข้มีอาการอ่อนแรงไม่มาก ก็อาจจะมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่อาจทำภารกิจบางอย่างที่มีความละเอียดซับซ้อนมากขึ้นไม่ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมอง หรือคนไข้ที่โคม่าก่อนมาโรงพยาบาล ก็อาจติดเตียง หรือเป็นเจ้าชายนิทราไปเลยก็ได้

ในด้านสภาพจิตใจของคนไข้หลังการรักษา ถ้ามีการเสียหายสมองซีกขวา อาจไม่ได้ส่งผลต่อด้านจิตใจของคนไข้มากเท่าการเสียหายของสมองซีกซ้าย ถ้าสมองซีกซ้ายเสียหาย ความพิการ หรือความเสียหายของสภาพจิตใจจะมากกว่า โดยคนไข้จะสื่อสารได้ลำบากมากขึ้น และบอกความต้องการของตัวเองไม่ได้

“ยังไม่มียาตัวไหนที่ป้องกันหรือทำให้ไม่เกิดโรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ แต่การควบคุมปัจจัยเสี่ยง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เสี่ยงกับยาเสพติด จะลดโอกาสในการเกิดได้” รศ.นท.ดร.นพ.สรยุทธ กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.