ปิดฮอร์มุซ ไทยเสี่ยงต้นทุนพลังงาน สินค้าเกษตรต้นทุนพุ่ง
Pornchanok June 29, 2025 09:24 AM

สรท. เผยต้องจับตาการส่งออกไทย กรณีอิหร่านปิดฮอร์มุซ กระทบตลาดตะวันออกกลาง ชี้ไทยเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน หวั่นราคาพลังงานและสินค้าเกษตรต้นทุนพุ่ง กระทบชิ่งเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้

นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการ (ผอ.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ปฏิบัติการโจมตีทางทหารครั้งสำคัญต่ออิหร่าน มุ่งเป้าไปที่โรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักและยกระดับความตึงเครียดในตะวันออกกลางสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่

โดยสหรัฐได้ออกมายืนยันความสำเร็จของปฏิบัติการที่ใช้ชื่อรหัสว่า มิดไนต์ แฮมเมอร์ (Midnight Hammer) โดยระบุว่าเป็นการกระทำเพื่อขจัดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติจากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ขณะที่อิหร่านได้ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าวอย่างรุนแรง พร้อมทั้งมีมาตรการตอบโต้สำคัญคือรัฐสภาอิหร่านลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดในโลก

ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลก จากแหล่งน้ำมันดิบสำคัญในภูมิภาค ซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซียไปสู่ลูกค้าในภูมิภาคอื่นทั่วโลก ปี 2023 มีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบ ประมาณ 20.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่าหนึ่งใน 1 ใน 5 ของปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลก

สัดส่วนของมูลค่าการส่งออกน้ำมันดิบในปี 2023 ซาอุดีอาระเบีย 16.1% เฉลี่ย 6.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน อิรัก 8.1% เฉลี่ย 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5.2% เฉลี่ย 2.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน คูเวต 4.6% เฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน อิหร่าน 4.5% เฉลี่ย 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน โอมาน และกาตาร์ มีปริมาณการส่งออกประมาณ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

สำหรับประเทศไทยแม้จะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย โดยนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เท่ากับ 28% ซาอุดีอาระเบีย 20% กาตาร์ 7% คูเวต 2%

ดังนั้น หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน และเนื่องจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบพร้อมกัน กลายเป็นแรงกดดันในการจัดหาซัพพลายพลังงานโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น

และหากไม่สามารถขนส่งมายังประเทศไทยได้ อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบในภาคการผลิตเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่งของไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีการนำเข้าปุ๋ย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคการเกษตรจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% จากมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็น ซาอุดีอาระเบีย 27.71% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3%

“การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเกษตรของไทยพุ่งสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อทั้งค่าครองชีพของผู้บริโภคในประเทศ และคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในตลาดโลก”

อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ถือเป็นตลาดที่สำคัญต่อประเทศไทย มีสัดส่วนส่งออกของไทย ในปี 2567 เท่ากับ 3.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

“สินค้าที่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สินค้ายานยนต์จะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซในวงจำกัด เพราะสามารถขนส่งผ่านท่าเรือเจดดาห์และท่าเรืออื่นในทะเลแดง”

ด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เบื้องต้น สรท. ประเมินไว้ว่าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ท่าเรือหลักในอ่าวเปอร์เซีย อาทิ Jabel Ali, Doha, Dammam มีโอกาสที่จะถูกปิด รวมถึงโครงข่ายการให้บริการโดยเรือ Feeder อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และจะกระทบส่งออกไปทุกประเทศในอ่าวเปอร์เซียทั้งหมด

ข้อมูลจากนักวิเคราะห์ (Linerlytica) ระบุว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบต่อปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ราว 3.4% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก หรือคิดเป็น 21 ล้าน TEU จากปริมาณตู้ทั้งหมดจำนวน 33.2 ล้าน TEU ซึ่งหมุนเวียนในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด

ขณะที่ท่าเรือของอิหร่านเองก็ต้องพึ่งพาเส้นทางดังกล่าวเพื่อขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 2.5 ล้าน TEU เช่นกัน ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นผ่านท่าเรือของ UAE ด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าอิหร่านจะตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซเมื่อใด ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน การเตรียมพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน/เพิ่ม Stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สองทาง สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน

ทั้งในขณะที่ระดับครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในระยะยาวได้เช่นกัน รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น

ส่วนบริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล ผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah Port (Saudi Arabia), Salalah Port (Oman) เป็นต้น และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง ด้วยการทำ Inland Transport

โดยตรวจสอบว่าผู้นำเข้าสามารถเดินพิธีการทางศุลกากรเพื่อนำสินค้าจากท่าเรืออื่นนั้นได้หรือไม่ หรือสายเรือ/ผู้ให้บริการมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อวางแผนล่วงหน้ากรณีสถานการณ์เป็นไปในทิศทางลบมากขึ้น

นอกจากนี้ควร พิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ส่งออกต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเว็บไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.