อดีตนายก วศรท. หนุนรัฐเร่ง 3 โครงการใหญ่คมนาคม ดันเศรษฐกิจฟื้น หวังรัฐบริหารครบเทอม

นายดิสพล ผดุงกุล อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย (วศรท.) เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีแต่ข่าวสารเชิงลบด้านเศรษฐกิจ ทั้งสงครามการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา รวมถึงปัญหาในประเทศ เช่นจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การเมือง พิพาทพื้นที่ทับซ้อน จนลามไปถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล ดังนั้น
ตนจึงขอเสนอแนวทางช่องทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจากมุมมองที่ทำงานในส่วนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นลงทุนร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

นายดิสพล กล่าวว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้รูปแบบ PPP (Public Private Participation) หรือการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ต้องการความเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลสามารถเร่งรัด 3 โครงการใหญ่ที่เริ่มต้นมาแล้วให้เดินหน้าต่อได้ จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เกือบ 500,000 ล้านบาทภายใน 3-5 ปีข้างหน้า หรือเฉลี่ยปีละกว่า 100,000 ล้านบาท

นายดิสพล ระบุว่า โครงการแรกคือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างมาได้ประมาณ 1 ปี โดยมีบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้ร่วมลงทุน โครงการนี้ไม่มีปัญหาเรื่องความล่าช้า และภาคเอกชนได้เริ่มลงทุนทั้งในงานก่อสร้างและจัดหาระบบรถไฟตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง แต่เสียดายที่ยังไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางควบคู่ไปด้วยอย่างเป็นรูปธรรม แต่เอกชนได้เริ่มจัดทำบางระบบด้วยตนเอง ซึ่งต่างจากในอดีตที่มักพึ่งพาผู้ผลิตต่างชาติทั้งหมด

นายดิสพล กล่าวว่า โครงการที่สองคือ มอเตอร์เวย์สาย M6 และ M81 ซึ่งประสบปัญหาล่าช้าจากหลายปัจจัย ทั้งด้านการก่อสร้างและการเวนคืนที่ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่โครงการส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่มาก่อน ดังนั้น รัฐบาลและกรมทางหลวงควรเร่งรัดการก่อสร้างและหาทางเจรจากับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบอย่างยุติธรรม เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนดำเนินการลงทุนได้ตามกรอบเวลา

นายดิสพล กล่าวว่า สำหรับโครงการนี้ เมื่อแล้วเสร็จ จะไม่เพียงอำนวยความสะดวกในการเดินทางเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในจังหวัดที่แนวเส้นทางผ่าน เช่น กาญจนบุรีและนครปฐม ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนใหม่และเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ

นายดิสพล กล่าวว่า โครงการที่สามที่อยากให้เร่งรัดคือ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยมีบริษัท เอเชีย เอราวัณ จำกัด ในเครือซีพี เป็นผู้รับสัมปทาน ร่วมพัฒนากับภาครัฐตั้งแต่ปี 2562 อย่างไรก็ตาม โครงการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องมีการขอแก้ไขสัญญา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาเพิ่มเติมได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ (ตามข่าว)

นายดิสพล กล่าวว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือขับเคลื่อน การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีจุดเริ่มจากรัฐบาลชุดก่อน และตนมองว่าสามารถดำเนินต่อได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่ตนห่วงคือ หากเสถียรภาพทางการเมืองผันผวน และไปจุดถึงการยุบสภา จนเกรงว่า อาจทำให้การดำเนินงานโครงการนี้และโครงการอื่นๆชะงัก เนื่องจากโครงการคมนาคม เป็นการลงทุนระยะยาว และรัฐบาลรักษาการไม่สามารถตัดสินใจในบางเรื่องได้ โดยเฉพาะเรื่องของสัญญาต่างๆ ฉะนั้นตนอยากให้รัฐบาลชุดนี้ บริหารให้ครบวาระ และดำเนินการตามแผนงานให้เสร็จสมบูรณ์