สถานการณ์การเมืองไทย ณ ปลายเดือนมิถุนายน 2568 เข้าสู่จุดวิกฤต เมื่อการชุมนุมของกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้แสดงพลังของภาคประชาชนออกมาอย่างชัดเจน พร้อมเสียงเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรืออย่างน้อยที่สุดให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2568 ยิ่งตอกย้ำว่า ความนิยมในตัวน.ส.แพทองธารกำลังตกต่ำอย่างน่าใจหาย จากอันดับ 1 ร่วงลงมาอยู่อันดับ 5 โดยได้คะแนนเพียง 9.20% สะท้อนว่าทั้งเสียงในถนนและเสียงในโพล ต่างก็ไม่เอารัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้อีกต่อไป
คำถามใหญ่ในตอนนี้ คือถ้า น.ส.แพทองธาร ยังยืนกราน “ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา” รัฐบาลนี้จะเจอกับอะไร? พรรคเพื่อไทยจะยืนระยะได้อีกแค่ไหน? และ “ระบอบชินวัตร” จะพังลงในรูปแบบใด?
เจตนารมณ์ของมวลชน: เสียงจากถนนที่ไม่อาจปฏิเสธ
จากการสังเกตการณ์ของนักวิเคราะห์อิสระต่อการชุมนุมของกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” พบว่า เจตนารมณ์ของมวลชนไม่ใช่แค่การรวมตัวเพื่อขับไล่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่เป็นพลังต่อต้านโครงสร้างอำนาจที่ถูกมองว่า “แปดเปื้อนผลประโยชน์ข้ามพรมแดน” โดยมีเนื้อหาสาระเด่นที่สะท้อนเจตจำนงประชาชนดังนี้:
-เรียกร้องให้น.ส.แพทองธารลาออก หรือยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
-แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตย ไม่ยอมให้กัมพูชา หรือ “Uncle” มาแทรกแซง
-ต้องการแสดงพลังว่า คนไทยไม่ใช่เพียงผู้ชม แต่เป็นเจ้าของประเทศ
-หากรัฐบาลเพิกเฉยต่อความรู้สึกของประชาชน อาจถึงจุดที่ “อำนาจนอกระบบ” กลับมา
แม้ม็อบครั้งนี้จะไม่มีสีเสื้อ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน และที่สำคัญไม่ใช่ม็อบรับจ้าง ไม่ใช่ม็อบพรรค ไม่ใช่ม็อบขั้วการเมืองใด แต่เป็นม็อบที่ประชาชนรู้สึกว่า “ถูกลดค่าศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าของประเทศ”
ดัชนีความนิยมร่วง: นิด้าโพลสะท้อนเสียงประชาชน
ขณะที่การชุมนุมกำลังเกิดขึ้นในถนน นิด้าโพลก็กำลังทำหน้าที่ในสนามโพลิติกส์ และผลสำรวจที่ออกมาคือ “สัญญาณเตือนครั้งใหญ่” สำหรับน.ส.แพทองธารและพรรคเพื่อไทย
คะแนนนิยมของน.ส.แพทองธาร ร่วงจาก 30.9% เหลือเพียง 9.20% ภายในเวลา 3 เดือน พรรคเพื่อไทย หล่นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยคะแนน 11.52%
ผลสำรวจจากนิด้าโพลยังชี้ว่าบุคคลที่เหมาะสมกับการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน อันดับ 1 คือ นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ด้วยคะแนนสูงถึง 31.48% และยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ มีสัดส่วน19.88% แสดงว่าประชาชนเบื่อการเมืองในรูปแบบเดิม
มิอาจปฏิเสธได้ว่าผลโพลนี้ไม่เพียงสะท้อนว่า น.ส.แพทองธารกำลังสูญเสีย “เครดิต” ในสายตาประชาชนเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแรงของพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคหลักของรัฐบาล และเมื่อคะแนนนิยมพรรคประชาชนพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 แบบทิ้งห่าง เท่ากับว่ามวลชนกำลังโอนถ่ายความหวังไปยัง “ขั้วใหม่”
ถ้าแพทองธารยืนกรานไม่ “ลาออก-ยุบสภา” จะเกิดอะไรขึ้น?
หากน.ส.แพทองธารยังดึงดันจะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยไม่ฟังเสียงประชาชน หรือไม่ใช้กลไกรัฐสภาในการคืนอำนาจ จะเกิดผลกระทบในหลายมิติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไล่ตั้งแต่
-รัฐบาลไร้ความชอบธรรม แม้จะยังมีเสียงข้างมากในสภา แต่เมื่อประชาชนหมดศรัทธา และคะแนนนิยมตกต่ำอย่างรุนแรง ความชอบธรรมในการบริหารประเทศจะถูกตั้งคำถามทุกย่างก้าว
-การเมืองบนถนนกลับมา ถึงม็อบครั้งนี้จะยังไม่มีการปักหลักยืดเยื้อ แต่ถ้าความไม่พอใจขยายวงกว้าง การชุมนุมอาจเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การประท้วงรายวัน การปิดถนน หรือแม้แต่การยึดพื้นที่ราชการ
-เสี่ยงเปิดช่องให้อำนาจนอกระบบ เสียงจากประชาชนบางส่วนที่ยอมรับว่า “ถ้าถึงทางตัน ก็ไม่ขัดขวางอำนาจนอกระบบ” เป็นคำเตือนชัดเจนว่า หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ระบอบประชาธิปไตยอาจพังลงด้วยฝีมือของรัฐบาลเอง
-พรรคเพื่อไทยเสื่อมเรื้อรัง การปล่อยให้ความนิยมตกต่ำ โดยไม่รีบแก้ไข อาจทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นแบบพรรคไทยรักไทยในอดีต คือเสื่อมจากภายในก่อนถูกโจมตีจากภายนอก
-ตระกูลชินวัตรหมดอำนาจถาวร ถ้าน.ส.แพทองธารยังดื้อดึงเดินหน้าท่ามกลางกระแสลบ และรัฐบาลล้มเหลวจากการต้านม็อบ/ศาล/โพล จะเป็นการปิดฉาก “ตระกูลชินวัตร” อย่างถาวรในการเมืองไทย
ทางเลือกที่เหลืออยู่
ณ เวลานี้ น.ส.แพทองธารมีเพียง 2 ทางเลือกคือ
1. ลาออกโดยสมัครใจ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง ลดแรงปะทะจากภาคประชาชน และฝ่ายค้าน
2. ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน หากเชื่อมั่นว่ายังได้รับความนิยม ก็ต้องกล้าให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
แต่ถ้าเลือกทางที่สาม คือ ดื้อเงียบ เดินหน้าต่อแบบไม่ฟังเสียงใด สุดท้ายจะไม่มีทางออก เพราะเมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่น สภาไม่เข้มแข็ง และโพลตีกลับหนัก รัฐบาลจะไร้พลังโดยสมบูรณ์
อย่าทำให้ “ประชาชน” ต้องลุกฮืออีกครั้ง
ประเทศไทยเคยผ่านเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องออกมาล้มรัฐบาลด้วยมือตัวเอง และเคยเสียประชาธิปไตยไป เพราะผู้นำไม่รู้จัก “ถอย” เพื่อรักษาโครงสร้างโดยรวม
วันนี้ “เสียงประชาชนจากถนน” และ “เสียงจากโพล” ส่งสัญญาณชัดแล้วว่า ประชาชนไม่เอารัฐบาลนี้อีกต่อไป หากยังเดินหน้าแบบไม่ฟังเสียงใดเลย ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่แค่กับน.ส.แพทองธาร ไม่ใช่แค่กับพรรคเพื่อไทย แต่อาจหมายถึงการปิดฉากของ “ยุคชินวัตร” ในการเมืองไทยตลอดกาล
#แพทองธารต้องถอย #นิด้าโพลสะท้อนความจริง #รวมพลังแผ่นดิน #ยุบสภาเถอะ #เพื่อไทยเสื่อมศรัทธา #ม็อบไร้สีแต่มีพลัง #ระบอบชินวัตรถึงทางตัน