ใครที่ไปเยือนโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ช่วงเดือนมิ.ย. ถึงกลางเดือนก.ค. ต้องทำใจอย่างหนึ่ง คือต้องเจอฝนตกหนัก กระนั้นสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ก็ไม่สามารถปิดซ่อนความงดงาม ความน่าตื่นตาตื่นใจของมหานครโตเกียวไปได้
ย่านชิบูย่า แหล่งวัฒนธรรม
เพราะเมืองหลวงที่มีประชากรหลายสิบล้านคนแห่งนี้ จะเผยให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของประชาชนในย่านศูนย์กลาง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเลือกซื้อของ เดินทางดูสถานที่ต่างๆ อย่างคึกคัก
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้พาคณะสื่อมวลชน ศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น พาชมความเจริญของย่านชิบูย่า ย่านชินจูกุ และผู้เขียนยังได้แว้บไปศาลเจ้ายาสุคุนิอีกด้วย
รูปปั้นฮาจิโกะที่ย่านชิบูย่า
เริ่มที่ ‘ย่านชิบูย่า’ แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของโลก แถมมีจุดแลนด์มาร์กสำคัญ คือ ‘รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ’ ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟย่านดังกล่าว กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่คนนิยมมาถ่ายภาพ
สำหรับรูปปั้นฮาจิโกะ เปรียบเสมือนแหล่งนัดพบของคนญี่ปุ่น โดยมีประวัติในช่วงปี พ.ศ.2463 เมื่อฮาจิโกะ สุนัขพันธุ์อาคิตะ มารอรับเจ้านายซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่หน้าสถานีรถไฟดังกล่าวทุกวัน
แม้เจ้าของจะเสียชีวิตไปแล้ว มันยังนั่งเฝ้ารอคอยกว่า 9 ปี กลายเป็นเรื่องเล่าแสดงถึงความจงรักภักดีที่ตราตรึงไปทั้งโลก เมื่อฮาจิโกะเสียชีวิต จึงมีการสร้างรูปปั้นให้รำลึกถึงจวบจนปัจจุบัน
ความน่าพิเศษของย่านชิบูย่า ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะห่างจากรูปปั้นฮาจิโกะ เพียง 400 เมตร ยังมีอาคาร 9 ชั้น อันเป็นที่ตั้งของ ‘ทาวเวอร์ เร็กคอร์ดส์’ ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นร้านแผ่นเสียงที่ดีสุดในโลก
ทาวเวอร์เร็กคอร์ดส์
ทาวเวอร์ เร็กคอร์ดส์ ย่านชิบูย่า มีแผ่นเสียงไวนิลให้เลือกเป็นจำนวนมาก มีแผ่นซีดี ทั้งเพลงและภาพยนตร์ ให้คนเข้ามาเลือกซื้อของ โดยผู้สนใจสามารถนำแผ่นไปขอพนักงานเปิดทดลองฟังได้
แผ่นเสียงลิซ่าที่ขายในทาวเวอร์เร็กคอร์ดส์
แต่ละชั้นมีการแยกแนวเพลงอย่างชัดเจน ทั้งเพลงญี่ปุ่น เพลงร็อก แผ่นเสียงในนี้มีราคาไม่แพง หากเทียบกับราคาแผ่นเสียงที่ขายในประเทศไทย คนที่เข้ามาเลือกซื้อต่างบ่นว่ามีหมื่นหมดหมื่นแน่นอน
เพราะสำหรับคนนิยมเสียงเพลง นี่คือสวรรค์ของพวกเขาอย่างแท้จริง
จากย่านชิบูย่า นั่งรถบัสมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินชินจูกุ ที่อยู่ห่างออกไปราว 3.5 กิโลเมตร สถานีแห่งนี้ถือเป็นจุดที่มีคนใช้บริการมากที่สุดในโลก ประมาณ 3 ล้านคนต่อวัน
ชินจูกุ แหล่งช็อปปิ้งระดับโลก
‘ชินจูกุ’ เป็นบริเวณที่มีห้างร้านให้เลือกซื้อของมากมาย มีสินค้าแบรนด์เนมดังแทบทุกยี่ห้อ ที่สำคัญสถานีรถไฟชินจูกุเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมสายรถไฟใต้ดินเส้นต่างๆ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าดีและตรงเวลาสุดในโลกดูสักครั้ง หากอยากเดินทางไปไหน ตั้งต้นที่นี่ จะเดินทางได้สะดวกกว่าปกติ
การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่น ไม่ยากอย่างที่คิด ปัจจุบันมีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ แม้กระทั่งการซื้อตั๋วรถไฟ ยังมีภาษาไทยด้วย
ผู้เขียนนั่งจากสถานีรถไฟชินจูกุ โดยเลือกสายโทเอชินจูกุ หรือสายสีเขียวเข้ม เดินทางผ่าน 4 สถานี กินเวลาแค่ 16 นาที ก็ถึงที่หมายสถานีรถไฟใต้ดินคุดันชิตะ เดินต่อมาอีก 400 เมตร พบสถานที่ประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างความแหลมคมให้กับการเมืองระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก
ศาลเจ้ายาสุคุนิ
นั่นคือ ‘ศาลเจ้ายาสุคุนิ’
ยาสุคุนิ เป็นศาลเจ้าซึ่งถูกสร้างตามความเชื่อของศาสนาชินโตที่ใหญ่สุดในประเทศ และเก็บดวงวิญญาณมากที่สุดในโลก คือราวๆ 2,466,000 นาย โดยเป็นทหารญี่ปุ่นฝ่ายรัฐบาล ที่ทำสงครามตั้งแต่ยุคปฏิรูปเมจิจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
ศาลเจ้าแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. พ.ศ.2412 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ได้อ่านบทกวี เมื่อคราวเสด็จเยือนศาลแห่งนี้เป็นครั้งแรกว่า “ชื่อของผู้ที่รับใช้ประเทศชาติ เปรียบเสมือนอัญมณีที่สถิตไว้ ณ ที่แห่งนี้”
จุดประสงค์แท้จริงของศาลเจ้าแห่งนี้ มีขึ้นเพื่อปลอบโยนผู้เสียสละชีวิตอันมีค่าเพื่อชาติ และส่งต่อความสำเร็จให้กับคนรุ่นหลังในช่วงเวลาของการปฏิรูปเมจิ ความตั้งใจของศาลเจ้าแห่งนี้ คือ สร้างประเทศญี่ปุ่นที่สงบสุข และมีแต่สันติภาพตลอดไป
เสาของศาลเจ้ายาสุคุนิ แตกต่างจากเสาของศาลเจ้าทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ทำจากไม้ทาสีแดง แต่ที่นี่ทำจากเหล็กและทองแดงขนาดใหญ่ มีน้ำหนักถึง 100 ตัน เพื่อแสดงถึงความตั้งใจเน้นย้ำการเข้าสู่ยุคใหม่ของญี่ปุ่นนั่นเอง
กฎระเบียบอย่างเคร่งครัดของที่นี่คือ หากก้าวผ่านเสาไปแล้ว จะไม่สามารถถ่ายภาพได้อีก มีข้อความเน้นย้ำแก่นักท่องเที่ยวว่า ไม่ควรพูดคุยเสียงดัง และให้เดินเข้าไปสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยความเคารพ
ศาลเจ้ายาสุคุนิ เหมือนศาลเจ้าทั่วไปในญี่ปุ่น ที่เปิดให้คนเข้ามาเคารพ และโยนเหรียญ แต่ความพิเศษคือ มีการเก็บดวงวิญญาณบุคคลที่ถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากรในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น นายพลฮิเดจิ โตโจ นายกรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมในการก่อสงครามและยึดครองประเทศอื่น
อนุสาวรีย์นายโอมุระ มาซาจิโร่
ด้านหน้าศาลเจ้ายาสุคุนิ มีอนุสาวรีย์นายโอมุระ มาซาจิโร่ รัฐมนตรีกระทรวงทหารบกของจักรวรรดิญี่ปุ่น
ถ้าใครไม่ต้องการสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ ก็สามารถเดินอ้อมไปด้านซ้ายมือ เพื่อไปสักการะศาลชินเรย์ฉะ ซึ่งถูกล้อมรั้วไว้
หากดูเผินๆ จะพบว่าเป็นศาลเจ้าเล็กๆ แต่ถือเป็นที่ประทับของดวงวิญญาณทหารฝ่ายศัตรูของจักรวรรดิญี่ปุ่นในทุกสงคราม นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองยุคการปฏิวัติเมจิ จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อเดินไปทางขวามือของศาลเจ้ายาสุคุนิ ยังมีร้านขายของที่ระลึก รวมถึงเครื่องรางไว้บูชา แน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวมาเลือกซื้อกันอย่างคึกคัก
พิพิธภัณฑ์สงครามของญี่ปุ่น
ใกล้กันยังมี ‘พิพิธภัณฑ์ยูชูคัง’ หรือพิพิธภัณฑ์สงครามญี่ปุ่น ที่เก็บอาวุธสงคราม และประวัติศาสตร์การรบของประเทศแห่งนี้ โดยเสียค่าเข้าชม 1,000 เยน
เครื่องบินซีโร ที่พิพิธภัณฑ์สงคราม
แต่หากไม่อยากเข้าไปภายใน สามารถเดินดูบรรยากาศจากภายนอกได้ เพราะมีการนำเครื่องบินซีโร อันเป็นเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับการยกย่องจากทั้งโลกว่า เปี่ยมประสิทธิภาพ มีความเร็วสูงมาก โดยเครื่องที่นำมาจำลองนี้ เคยถูกใช้ในช่วงสงคราม ยิงเครื่องบินของข้าศึกร่วงตกอีกด้วย
หัวรถไฟที่ถูกใช้สร้างทางรถไฟสายมรณะ
รวมถึงหัวรถไฟซึ่งถูกใช้ในการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่พรมแดนไทยเมียนมา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทางการไทยได้ขอหัวรถไฟนี้มาใช้ จนเมื่อปลดประจำการ ทางญี่ปุ่นได้ขอนำกลับมายังประเทศ และตั้งให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายด้วย
พื้นที่โดยรอบศาลเจ้ายาสุคุนิ เป็นบริเวณที่มีการวิจารณ์จากเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างมาก
แต่อีกมุมก็ได้รับการยกย่องจากประชาชนในญี่ปุ่น ที่ต้องการแสดงความเคารพแก่ผู้เสียสละในสงครามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ขณะเดินกลับ ผู้เขียนสังเกตเห็นคนญี่ปุ่นรายหนึ่ง เดินออกมาหยุดที่เสาหน้าศาลเจ้า แล้วหันหลังมาโค้งคำนับตามความเชื่อแบบศาสนาชินโต นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต่างโค้งคารวะตามกัน
ปืนต่อสู้อากาศยานในพิพิธภัณฑ์สงคราม
ภาพรวมแล้ว มหานครโตเกียวยังมีสถานที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก แต่หากใครอยากจะสำรวจย่านชิบูย่า เพื่อเข้าถึงแผ่นเสียง เดินดูวิถีชีวิตผู้คนที่ชินจูกุ และมาสักการะดวงวิญญาณในศาลเจ้ายาสุคุนิก็สามารถทำได้
อาจจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย ในมหานครโตเกียวอีกด้วย
ณัฐกมล ไชยสุวรรณ