'เท้ง' รอเช็กศาลคดี 'อิ๊งค์' ก่อนเคาะซักฟอก ปรามม็อบเปิดช่องรัฐประหาร
GH News June 30, 2025 01:06 PM

‘ณัฐพงษ์’ รอเช็กศาลมีมติรับหรือไม่รับคดี ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องรอบคอบก่อนยื่นซักฟอก เชื่อได้ข้อสรุปสัปดาห์นี้ ปรามม็อบเรียกร้องอำนาจนอกรธน. เปิดช่องรัฐประหาร ชี้ผลโพลสะท้อนความเชื่อมั่นรัฐบาล

30 มิ.ย. 2568 – ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ตอนนี้มี 2 นัดหมาย คือ 1.การประชุมวิปฝ่ายค้าน ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 ก.ค. และ2.การประชุมระหว่างหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. ขอให้ติดตามรอฟังรายละเอียดในการหารือ

ส่วนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น เป็นหัวข้อที่ต้องคุยกันอยู่เเล้ว ซึ่งยังมีอีกหลายทางเลือกที่เราจะสามารถใช้กลไกสภาในการตรวจสอบฝั่งรัฐบาล จึงขอยืนยันอีกหนึ่งครั้งว่า เราไม่ได้เห็นต่าง หรือคัดค้านการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่จังหวะในการยื่น จะยื่นอย่างไรให้มีความแม่นยำมากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ต้องประเมินให้เห็นตรงกันระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเอง เนื่องจากในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ต้องรอฟังความชัดเจนเรื่องคดีของนายกรัฐมนตรี ว่าตกลงแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอน เรายืนยันว่าอยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถทำได้หนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีสมัยประชุม หากยื่นตั้งแต่ตอนนี้ เท่ากับว่าถ้าจะมีการยื่นอีกครั้ง ต้องรอในช่วงเดือนกรกฎาคมปีหน้า

เมื่อถามว่า หากยื่นช้าไป อาจจะไม่ทันถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นสิ่งที่สามารถคิดได้ในมุมกลับ ว่าถ้ายื่นญัตติต่อนายกรัฐมนตรีไป แล้วเกิดอุบัติเหตุการเมืองต่อตัวนายกรัฐมนตรีขึ้นมา เราก็ไม่สามารถตอบได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในการตีความว่า การยื่นจะเสียของหรือไม่ เพราะฉะนั้น การประเมินสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ตนมองว่าอาจจะใช้เวลาประเมินสถานการณ์อีกสักหน่อย รอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญ และอีกหลายๆ เรื่อง ถึงเวลาค่อยยืนอย่างแม่นยำ ซึ่งไม่ได้ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด

ส่วนการพิจารณากฎหมายงบประมาณที่จะเข้าสู่สภาในช่วงเดือนสิงหาคม มองว่าจะกลายเป็นอุปสรรคที่ส่งผลถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากลงมติแล้วเสียงไม่ผ่านนั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า เรื่องงบประมาณก็เป็นกฎหมายที่สำคัญ แต่เชื่อว่าในบรรดาทุกกฎหมายต่อจากนี้ ที่รัฐบาลจะผลักดัน ตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาลเสี่ยงปริ่มน้ำอยู่แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ตลอดเวลา เพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถออกมาส่งเสียงเรียกร้องเรื่องต่างๆ ได้ทุกครั้ง เพราะเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำมีมากกว่าฝ่ายค้านเพียงแค่ 10 กว่าเสียง

สำหรับข้อกังวลอาจเกิดรัฐประหารอีกครั้งนั้น ตนเชื่อว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องโดยบริสุทธิ์ใจ ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เพียงแต่วิธีการก็มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการที่นายกรัฐมนตรีลาออกเอง การใช้นิติสงครามถอดถอน หรือนายกรัฐมนตรีจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ รวมถึงช่องทางที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตยอย่างการปฏิวัติรัฐประหาร

แต่สิ่งที่เราเป็นห่วง คืออาจมีความพยายามของคนบางกลุ่มบางก้อน ที่ฉกฉวยสถานการณ์ในตอนนี้ไปเรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการที่ไม่ได้เป็นไปตามประชาธิปไตย แน่นอนที่สุดว่าข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการของกลุ่มมวลชนที่ไปชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือเรื่องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล

“แกนนำผู้ชุมนุมหลายคน เราเห็นกันอยู่ว่าเป็นคนหน้าตาเดิมๆ ที่เคยเรียกร้องการชุมนุมต่อต้าน และนำไปสู่การรัฐประหารในอดีต รวมถึงในการพูดบนเวที แม้จะไม่ได้มีการพูดอย่างชัดเจน ว่าจะเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นเพียงการพูดเปิดช่องว่า หากจะมีการปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ยังทำให้พวกเรามีข้อกังวลว่า การชุมนุมมีวัตถุประสงค์แอบแฝงโดยแกนนำอย่างหนึ่งอย่างได้หรือไม่ ทำให้อีกหนึ่งอย่างที่อยากสื่อสารไปถึงทุกคน คือไม่ว่าเราจะออกไปชุมนุมเรียกร้องช่องทางใดๆ ให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรืออะไรก็ตาม เป็นสิทธิที่จะสามารถชุมนุมเรียกร้องได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ตัวเราเองถูกกลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้คนที่เรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ” นายณัฐพงษ์ ระบุ

เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองจากกลายเป็นเข้าทางของฝ่ายกัมพูชาหรือไม่ นายณัฐพงษ์ มองว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ ในความไร้เสถียรภาพ ความไม่แน่นอน ระหว่างปัญหาไทยและกัมพูชา คือเรื่องที่ขาดความชัดเจน ไม่มีประสิทธิภาพ ในการสื่อสารของรัฐบาล เพราะในการเจรจาหลายครั้ง ฝ่ายกัมพูชาก็มีการออกมาสื่อสารก่อนหน้าเรา

อีกเรื่องคือการวางตัวของนายกรัฐมนตรีเอง ที่ตนเคยพูดมาหลายครั้งว่า ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาหน้าบ้านหรือหลังบ้าน หากตัวนายกรัฐมนตรีใช้บทบาทหรือการวางตัวของตัวเอง ในฐานะผู้นำ ต่อผู้นำประเทศ หรือรัฐต่อรัฐ บทสนทนาคงไม่ออกมาเป็นในรูปแบบนี้ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีใช้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวต่อครอบครัว บทสนทนาจึงเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถทำให้ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ประโยชน์ได้ ในการทำลายล้างฝ่ายไทย

ส่วนกรณีโพลที่ออกมาซึ่งความนิยมของตนเองมีคะแนนนำ แต่นายกรัฐมนตรีรั้งท้ายนั้น รู้สึกดีใจและขอบคุณประชาชนทุกคนที่มอบความไว้วางใจให้กับตนและพรรคประชาชนมากยิ่งขึ้น แต่เราไม่ได้ประมาท และเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ต้องพูดตามข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งว่า คะแนนความนิยมส่วนหนึ่งที่ตกลงของนายกรัฐมนตรี หรือการขาดความเชื่อมั่นต่อตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ย่อมส่งผลอีกด้านหนึ่งที่ทำให้คะแนนนิยม ไม่ใช่แค่ของตน แต่รวมไปถึงคะแนนนิยมของตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นที่อยู่ในโพลเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน

เมื่อถามว่า จะส่งผลต่อเสียงในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาชน มองว่า ผลโพลมีขึ้นมีลงตลอด ก่อนที่จะถึงสนามเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าการสื่อสารและการปฏิบัติตัวอยู่บนหลักการ รวมถึงการนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่เป็นทางออกในการแก้ปัญหา และประโยชน์สูงสุดของประชาชน จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต แต่ตั้งแต่วันนี้จนถึงการเลือกตั้ง ผลโพลต่างๆ ไม่ว่าจะของใครที่ขึ้น ถ้าเราละทิ้งหลักการของเรา แล้วเลือกสื่อสารหรือชี้นำสังคมไปในทางใดทางหนึ่ง ที่เอาผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองเป็นหลัก ก็เชื่อเพราะว่าประชาชนมองออก และไม่ได้หมายความว่า ผลโพลในวันนี้จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต

เมื่อถามถึงกรณีที่ชื่อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาได้ความนิยมอีกครั้งตามผลโพล เป็นสิ่งสะท้อนสถานการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้เร็มไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า การสำรวจผลโพลที่ผ่านมาไม่ได้มีชื่อของพลเอกประยุทธ์อยู่ในโพล หากดูตามตัวเลขผิวเผินที่ขึ้นมานั้น เป็นเพราะอยู่ดีๆ ชื่อพลเอกประยุทธ์ก็คือเข้ามาอยู่ในโพล แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ คะแนนความนิยมของตัวนายกรัฐมนตรีที่ตกลง สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนส่วนหนึ่ง ที่จะนำมาสู่การอยากเลือกนายกรัฐมนตรีที่มีความเข้มแข็ง ที่มาจากฝ่ายทหาร ซึ่งเราก็ต้องพยายามสื่อสารกับประชาชนทุกกลุ่ม ว่าสิ่งหนึ่งที่เราไม่อยากเห็น คือนายกรัฐมนตรีผู้ที่เคยทำรัฐประหารมาเสียเอง รวมถึงการใช้การเมืองนอกระบบ ฉะนั้น ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ยึดมั่นอยู่บนหลักการ ต้องปฏิเสธการปฏิวัติรัฐประหารให้หนักแน่นที่สุด ไม่ควรจะมีการเปิดช่อง

เมื่อถามว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง จะมีโอกาสที่สภาจะใช้โอกาสเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า นี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เราไม่อยากเห็นเช่นเดียวกัน คือนายกรัฐมนตรีนอกระบบ ตามมาตรา 5 แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงจุดนั้น พรรคประชาชนจึงพยายามนำเสนอจากการประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจอย่างมีวุฒิภาวะ ละเอียดรอบคอบมาก เนื่องจากเรื่องต่างๆ ยังผูก และยึดโยงกัน เช่น การอภิปรายตามมาตรา 151 ก็ยังเป็นสิ่งที่เราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพียงแต่ต้องประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้องก่อน และในการประชุมช่วงสัปดาห์นี้ระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็คงจะได้คำตอบ

ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะมีการเสนอชื่อชิงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 หรือไม่นั้น ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคประชาชนเองคงเสนอไม่ได้ เนื่องจากผูกติดกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญล็อคไว้ แต่พรรคอื่นๆจะเสนอหรือไม่นั้น ตนก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคที่จะเสนอ

เมื่อถามว่า หากพรรคภูมิใจไทยเสนอ พรรคประชาชนจะโหวตให้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า คงต้องมีการพูดคุยภายในช่วงสัปดาห์นี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีข้อกังวลใจบางส่วน ว่าหากมีการเสนอชื่อ แล้วพรรคภูมิใจไทยได้ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ขึ้นมาจริงๆ ทางนิตินัยยังถือว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ แม้ในทางพฤตินัยพรรคภูมิใจไทย จะอยู่ในฝ่ายพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ตาม ซึ่งก็จะส่งผลต่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ในการจะต้องนับเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย จึงจะต้องมีการพูดคุยกันอย่างรอบคอบ ว่าตกลงแล้วพรรคภูมิใจไทยจะเสนอยื่นหรือไม่ยื่นอย่างไร.

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.