ทำไมเด็ก Gen Z หางานยากขึ้น? เมื่อเงินเดือนอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการทำงานเสมอไป
sanook July 07, 2025 07:02 AM

จริงหรือไม่ที่เขาว่ากันว่าเด็ก Gen Z หางานได้ยากกว่าเดิม สมัครไปไม่มีใครรับ หรือรับแล้วแต่ทำงานไม่ได้? เจาะลึกปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ ที่ทำให้ “เด็กจบใหม่กำลังหางาน” ต้องเผชิญความท้าทายมากกว่าที่เคย

การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน กับความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน

ในอดีต เด็กจบใหม่สามารถหางานได้ง่ายขึ้น เพราะระบบงานมีความชัดเจน ตำแหน่งงานมั่นคง และความคาดหวังของนายจ้างก็อยู่ในขอบเขตที่จับต้องได้ แต่ในยุคดิจิทัลและหลังโควิด-19 ตลาดแรงงานได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

1. ทักษะที่ต้องการในปัจจุบันเปลี่ยนไป

หลายองค์กรต้องการพนักงานที่มี "ทักษะเฉพาะทาง" เช่น Data Analysis, Digital Marketing, UX/UI Design, Coding หรือ AI Prompt Engineering ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มหาวิทยาลัยสอนครบถ้วน นั่นทำให้ Gen Z ต้องใช้เวลาเพิ่มในการ Upskill หรือ Reskill เพื่อตอบโจทย์ตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

2. เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ตำแหน่งลดลง

หลายบริษัทหยุดรับพนักงานใหม่หรือจ้างแบบชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน อีกทั้งการจ้างงานแบบ Outsourcing และ Freelance ก็เพิ่มขึ้น ทำให้ตำแหน่ง “งานประจำ” ที่มั่นคงน้อยลง ส่งผลให้ “เด็กจบใหม่กำลังหางาน” ต้องแข่งขันกับคนมีประสบการณ์มากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อ Gen Z มองหาความหมาย มากกว่าแค่เงินเดือน

1. การทำงานอย่างมีความสุข คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง

Gen Z ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” มากกว่าค่าตอบแทนอย่างเดียว พวกเขามองหางานที่มีความหมาย ตรงกับค่านิยมของตัวเอง เช่น สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม และความยั่งยืน และอยากทำงานในวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง ไม่มี “ดราม่าในที่ทำงาน”

2. ปฏิเสธระบบลำดับขั้นแบบเก่า

องค์กรที่ยังยึดติดกับโครงสร้างแบบอำนาจนิยม เช่น หัวหน้าสั่ง ลูกน้องทำ ไม่มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็น หรือไม่ยอมรับแนวคิดใหม่ ๆ มักจะไม่สามารถดึงดูดหรือรักษา Gen Z ไว้ได้ เพราะพวกเขาเชื่อใน “การทำงานร่วมกัน” มากกว่า “ทำตามคำสั่ง”

ดราม่าในที่ทำงาน: อุปสรรคสำคัญของ Gen Z

แม้จะได้งานแล้ว แต่ Gen Z หลายคนกลับลาออกเร็ว เพราะต้องเจอกับ

  • วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ (Toxic Culture)
     
  • การกลั่นแกล้ง การแบ่งพรรคพวก หรือการเมืองในที่ทำงาน
     
  • เจ้านายที่ไม่รับฟัง ไม่ให้โอกาสเติบโต
    สิ่งเหล่านี้ทำให้ Gen Z รู้สึกว่า “ไม่มีความสุขในการทำงาน” และไม่อยากทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บั่นทอนจิตใจ แม้งานนั้นจะให้เงินเดือนสูงก็ตาม
     

แล้ว Gen Z ควรปรับตัวอย่างไรให้ “หางานได้ง่ายขึ้น”?

แม้สภาพตลาดงานจะท้าทาย แต่ Gen Z ยังมีศักยภาพและโอกาสเสมอ ถ้าเข้าใจกลยุทธ์และพัฒนาตัวเองอย่างเหมาะสม

 

1. รู้จักโลกการทำงานให้มากขึ้นก่อนสมัคร

  • ศึกษาวัฒนธรรมขององค์กรจาก Glassdoor, LinkedIn, หรือพันทิป
     
  • ดูรีวิวจากพนักงานเก่า และเรียนรู้ว่าองค์กรไหนมี “ดราม่าในที่ทำงาน” หรือไม่
     
  • ค้นหาว่างานในสายที่สนใจต้องการ “ทักษะเฉพาะ” อะไร แล้ววางแผนเรียนเพิ่มเติม
     

2. ฝึกทักษะใหม่ ๆ ให้มากกว่าปริญญา

ในยุคนี้ ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่าง

  • เรียนคอร์สออนไลน์ (Coursera, Skillshare, YouTube)
     
  • ทำโปรเจกต์ส่วนตัว หรืองานฟรีแลนซ์ เพื่อใช้เป็น Portfolio
     
  • ฝึกพูด นำเสนอ และเขียนอย่างมืออาชีพ เพราะ Soft Skill สำคัญไม่แพ้ Hard Skill
     

3. ลดความคาดหวัง แต่ไม่ลดคุณค่า

แม้ Gen Z อยาก “ทำงานอย่างมีความสุข” แต่ต้องเข้าใจว่าความสุขนั้นอาจไม่ได้มาในทันที

  • เปิดใจรับประสบการณ์ แม้งานแรกจะไม่ใช่งานในฝัน
     
  • ใช้โอกาสนั้นเรียนรู้ระบบการทำงานจริง และพัฒนา Mindset แบบมืออาชีพ
     
  • สร้างเครือข่าย (Networking) กับรุ่นพี่ในสายอาชีพ เพื่อขยายโอกาสในอนาคต
     

4. พัฒนาความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional Resilience)

การทำงานทุกที่มีปัญหา แต่การจัดการกับความเครียดและความไม่เข้าใจในที่ทำงานเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้

  • ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
     
  • ตั้งขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน
     
  • ใช้เวลานอกงานในการพักผ่อน พัฒนาตัวเอง และสร้างสมดุลชีวิต
     

ทางรอดของ Gen Z คือการ “เข้าใจโลก และเข้าใจตัวเอง”

การที่ Gen Z หางานยาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ดีหรือไม่เก่ง แต่เพราะโลกการทำงานในวันนี้มีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก หากพวกเขาเปิดใจเรียนรู้ ปรับมุมมอง และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะได้งานดี ๆ และ “การทำงานอย่างมีความสุข” ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

หากคุณเป็น “เด็กจบใหม่กำลังหางาน” อย่าลืมว่า...

"การหางานไม่ใช่การหาสิ่งที่ใช่ในทันที แต่คือการค้นหาตัวเองผ่านประสบการณ์"

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.