เงินบาทอ่อนค่า หลังยังไม่ได้ข้อสรุป เจรจาภาษีสหรัฐ
jit July 12, 2025 10:42 AM

ภาวะเงินตราต่างประเทศประจำสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่า หลังยังไม่ได้ข้อสรุป เจรจาภาษีสหรัฐ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า สภาวะเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (7/7) ที่ระดับ 32.38/41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (4/7) ที่ระดับ 32.35/36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ในสัปดาห์นี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ต้นสัปดาห์ หลังเมื่อวันอาทิตย์ (6/7) นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในเดือน เม.ย.นั้น จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. สำหรับประเทศที่ยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐ โดย ปธน.ทรัมป์จะส่งจดหมายไปยังประเทศคู่ค้าของสหรัฐตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 ก.ค.

โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า หากประเทศดังกล่าวไม่เร่งดำเนินการใด ๆ แล้ว ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ภาษีศุลกากรของประเทศเหล่านี้นั้นจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับที่สหรัฐได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยในวันอังคาร (8/7) ได้มีการเผยแพร่จดหมายหลายฉบับที่ทางสหรัฐได้ส่งให้แต่ละประเทศ โดยในเบื้องต้นมี 14 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย คาซัคสถาน และตูนิเซีย จะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 25%, แอฟริกาใต้ และบอสเนียที่อัตรา 30%, อินโดนีเซีย 32%, บังกลาเทศ และเซอร์เบียที่อัตรา 35%, กัมพูชา และไทยที่อัตรา 36% ลาว และเมียนมาที่อัตรา 40%

และในวันพฤหัสบดี (10/7) มีการส่งจดหมายเพิ่มเติมอีก 8 ประเทศ โดยบราซิลถูกเรียกเก็บภาษีสูงที่สุดที่ระดับ 50% โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับวันที่ของการเรียกเก็บภาษีและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้นในเงื่อนไขที่ถูกประกาศ ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ถ้ามีประเทศที่ได้รับผลกระทบแล้วโทร.มาเจรจาในแนวทางที่แตกต่างออกไป เขาก็พร้อมที่จะเปิดรับแนวคิดนั้น

ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้รัฐบาลสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงกับเพียงอังกฤษและเวียดนาม รวมถึงตกลงพักรบด้านภาษีกับจีน ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจ ซึ่งนอกจากนี้แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% โดยจะให้มีผลวันที่ 1 ส.ค. และจะมีแผนเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น อาทิ ภาษีนำเข้ายา ซึ่งอาจจะเรียกเก็บภาษีถึง 200%

จากข่าวการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว ทำให้ค่าเงินหลักทั่วโลกปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะค่าเงินยูโร และค่าเงินเยน โดยกังวลผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น สำหรับข่าวด้านนโยบายการเงินและตัวเลขเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 17-18 มิ.ย.ในวันพุธ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากคาดว่าผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่มีต่อเงินเฟ้อนั้นจะไม่มากนักและเป็นผลกระทบชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม มีกรรมการเฟดเพียงไม่กี่คนที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ค. ทั้งนี้ในการประชุมวันดังกล่าว คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50%

ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ ส่วนตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 227,000 ราย ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 235,000 ราย และถือเป็นการลดลง 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขดังกล่าวมากนัก

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาททยอยปรับตัวอ่อนค่าตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์จากความกังวลที่ว่า ทางไทยจะไม่สามารถมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐได้ก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กพูดถึงแผนการเจรจาว่า ไทยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการค้าทวิภาคีกับสหรัฐ และลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 70% จากปัจจุบันที่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในเวลา 5 ปี

โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้การค้าระหว่างสองประเทศถึงจุดสมดุลในระยะเวลา 7-8 ปี และภาษีศุลกากรที่ระดับ 10% ถือเป็นอัตราที่ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เสริมด้วยว่า ภาษีระหว่าง 10-20% ก็ยังเป็นอัตราที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ตลอดสัปดาห์ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ทางฝั่งนางสาวบัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในครึ่งปีหลังจะชะลอตัว โดยมีโอกาสลดลงเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีที่ประมาณ 2.9% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐที่เก็บจากประเทศไทยในอัตราสูง ซึ่งจะทำให้ GDP ในช่วงต่อจากนี้ขยายตัวต่ำกว่า 2% ไปอีกอย่างน้อยปีครึ่ง เนื่องจากประเมินว่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะหดตัวรุนแรง 4% และปีหน้าจะหดตัวต่อเนื่องอีก 2%

อีกทั้งศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของไทย ประจำเดือน มิ.ย. 68 ออกมาที่ระดับ 52.7 จุด ปรับตัวลดลงจากเดือน พ.ค. ที่ระดับ 54.2 จุด โดยเป็นการปรับตัวลดลงในทุกรายการ ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 28 เดือน นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 66

สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ แถลงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน มิ.ย. 68 อยู่ที่ 100.42 ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -0.25% (YOY) จากตลาดคาด -0.1% สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง และค่ากระแสไฟฟ้า ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดหลายชนิดราคาลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะไข่ไก่ ผักสด และผลไม้สด

ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร และอาหารสำเร็จรูป ทั้งนี้ ในระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.38-32.71 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (11/7) ที่ระดับ 32.51/53 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (7/7) ที่ระดับ 1.1781/83 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (4/7) ที่ระดับ 1.1779/80 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการหาข้อสรุปเรื่องภาษีศุลกากรระหว่างสหภาพยุโรปกับสหรัฐ

โดยโฆษกคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า EU ยังคงตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้โดยเร็ว หลังจากที่นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและประธานาธิบดีทรัมป์ได้มีการพูดคุยที่ดีต่อกัน สำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในสัปดาห์นี้ไม่ได้มีมากนัก โดยส่วนใหญ่ยังคงออกมาไร้ทิศทาง

โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีแถลงในวันจันทร์ (7/7) ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ 0% โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตพลังงาน

สำหรับตัวเลขการส่งออกของเยอรมนีร่วงลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่อุปสงค์จากสหรัฐหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่บริษัทต่าง ๆ แห่กักตุนสินค้าไปก่อนหน้านี้เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยในเดือน พ.ค. ยอดส่งออกลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะหดตัวเพียง 0.2%

ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 3.8% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 18,400 ล้านยูโร เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ การส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ลดลง 2.2% และประเทศนอกกลุ่ม EU ลดลง 0.3% ส่วนสหรัฐซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดดิ่งลงถึง 7.7% ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1662-1.1788 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (11/7) ที่ระดับ 1.1682/84 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (7/7) ที่ระดับ 144.44/45 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (4/7) ที่ระดับ 144.32/34 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินเยนถูกกดดันจากความไม่แน่นอนเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐ โดยสหรัฐได้ส่งจดหมายถึงญี่ปุ่นเพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าจากญี่ปุ่นในอัตรา 25% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป

นายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้าญี่ปุ่น 25% ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแท้จริง ทั้งนี้ รัฐบาลจะยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของชาติในการเจรจารอบต่อไปเพื่อหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐ พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออก

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า นายอิชิบะกล่าวว่าแม้สหรัฐตัดสินใจเรียกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าว แต่ก็ยังต่ำกว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยขู่ไว้และยังเป็นการเปิดช่องสำหรับการเจรจาในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์เคยขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 30-35% เพื่อกดดันญี่ปุ่น โดยนายเรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าผู้แทนเจรจาการค้าของญี่ปุ่น กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าใด ๆ กับสหรัฐจะต้องรวมถึงการลดหย่อนภาษีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ขณะที่สถาบันวิจัยไดวะประเมินว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐต่อญี่ปุ่นในอัตรา 25% อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นลดลง 0.8% ภายในปี 2568 และหากมาตรการดังกล่าวมีผลต่อเนื่องไปถึงปี 2572 ตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นอาจหดตัวลงรวม 1.9% โดยเฉพาะเมื่อรวมกับภาษีนำเข้าอื่นที่สหรัฐ บังคับใช้อยู่ก่อนแล้ว เช่น ภาษีนำเข้ารถยนต์ 27.5% เศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจได้รับผลกระทบรวมถึง 1.3% ภายในปี 2568 และสูงถึง 3.7% ภายในปี 2572

ทั้งนี้ ค่าเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าขึ้นไปทำระดับอ่อนค่าสุดในสัปดาห์ในวันพุธ (9/7) ที่ระดับราว 147.15 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 144.25-147.18 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (11/7) ที่ระดับ 147.05/06 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.