ตูน-ก้อย เผยแนวทางการเลี้ยงลูก ‘น้องทะเล’ แววศิลปินมาเต็ม ประกาศชัดปิดอู่แล้ว
GH News July 14, 2025 02:41 AM

ตูน-ก้อย เผยแนวทางการเลี้ยงลูก ‘น้องทะเล’ แววศิลปินมาเต็ม ประกาศชัดปิดอู่แล้ว

นานๆ ทีจะมีโอกาสเห็นออกงานพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อ แม่ ลูก สำหรับครอบครัวของ ตูน บอดี้สแลม ศิลปินชื่อดัง ที่ล่าสุดควงภรรยาสาวคนสวย ก้อย รัชวิน พร้อมลูกๆ น้องทะเล และ น้องเวลา มาร่วมงานเปิดแคมเปญใหม่ “Baby Shark Deep Sea Carnival” ณ ซีไลฟ์ แบงคอก ชั้น B1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ก็ได้เปิดใจถึงแนวทางการเลี้ยงลูก พร้อมเผยถึงน้องทะเลที่ตอนนี้เริ่มฉายแววความเป็นศิลปินตามรอยคุณพ่อ

ก้อยตูนเหมือนเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติเยอะมาก?
ตูน: โชคดีที่เราอยู่ที่ภูเก็ต ก็เลยไปไหนมาไหนง่าย แล้วภูเก็ตก็มีทั้งทะเล มีปลา มีภูเขาให้เขาได้ไปเรียนรู้ ก็โชคดี แล้วมันก็ไปไม่ยาก”

แต่ความตั้งใจแรกคืออะไร อยากให้เขาอยู่กับธรรมชาติ?
ตูน: “ความตั้งใจแรกก็คือเราชอบ ตอนนั้นยังไม่มีลูกเราไปเล่นและซ้อมกีฬานานๆ แต่พอมันมีลูก ครอบครัว แล้วลูกก็ชอบและมีความสุขด้วย เราเห็นเขามีความสุขเราก็มีความสุข”

ทำให้เขาดูอ่อนโยนมากขึ้นด้วยไหม เพราะเขาอยู่กับธรรมชาติแต่เด็กๆ?
ก้อย: “อ่อนโยน เขาชอบ”

ตูน: “ก็มีนิทรรศการของพี่โน๊ต อุดม เขามีรูปปั้นงูกินคนอะไรสักอย่าง แล้วทะเลก็ถามว่านั่นคืออะไร เราก็บอกคล้ายงูงับคนเข้าไป จังหวะนั้นเวลาก็เดินเข้ามาพอดี ทะเลบอกเวลาอย่าเพิ่งไป มันมีงู เดี๋ยวมันงับ”

ก้อย: “เขาจะอ่อนโยนกับแม่ กับน้อง กับพ่อด้วย เขาจะมีความเป็นพี่ชายค่อนข้างสูง เราจะชอบสังเกต บางทีเราจะไม่เข้าไป เพราะอยากเห็นเวลาที่เด็กเล่นกันเป็นยังไง เราก็จะเห็นว่าเขาแบ่งของเล่นให้น้อง เวลาน้องขอกินขนมก็แบ่งให้น้อง เขาก็มีแกล้งกันตามประสาเด็กเป็นปกติ แต่เราก็พยายามอยากให้เขารู้ว่าเป็นพี่น้องกันนะ รักกันนะ มีอะไรก็แชร์กัน”

การดูแลต่างกันไหม?
ก้อย: “เยอะ สำหรับก้อยนะ อย่างทะเลเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างแอคทีฟและไฮเปอร์ แต่อย่างน้องเวลาเขาจะเรียบร้อยด้วยความเป็นเด็กผู้หญิง พอเด็กผู้หญิงมาอยู่กับเด็กผู้ชายเขาจะตามพี่หมดเลย พี่พูดอะไรเขาก็จะพูดตาม อย่างการตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่ตะโกน แต่พอน้องทะเลตะโกนปุ๊ป เวลาเอาด้วยอะไรอย่างนี้ เราก็ค่อยๆ สอนๆ เขาไป”

ตูน: “ทะเลก็เรียนรู้ เราเองในฐานะพ่อแม่ก็เรียนรู้ที่จะสังเกตเขาว่าทำยังไงถึงจะดีที่สุด บางวันก็ดีบ้างไม่ดีบ้างในความรู้สึกเรา แต่สุดท้ายแล้วเราก็เรียนรู้ไปพร้อมลูก”

ก้อย: “เด็กมันก็คือผ้าขาวแหละ เราแต้มสีอะไรลงไปเขาก็เป็นสีนั้น แต่สำหรับเด็กบางคนบางทีเขาก็มีสีของเขาติดมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องไปหาสิ่งที่มันไปเบลนกับเขาด้วยความเป็นธรรมชาติ ทำให้สีมันธรรมชาติที่สุด โดยที่เราไม่ต้องไปกดดันเขา แต่ว่าสอนเขาและก็เรียนรู้ไปกับเขา”

มีบอกทะเลไหม เราสอนเขาว่ายังไง?
ตูน: “มีครับ เวลาที่เขาเล่นกับน้องแรงๆ ก็บอกเขาว่าน้องเป็นผู้หญิง”

ก้อย: “เป็นธรรมชาติของเด็ก เรื่องเสียงดังเป็นเรื่องปกติ เราเข้าใจได้ แต่เราก็จะบอกเขาว่าที่ไหนทำได้ ที่ไหนควรไม่ควร แต่ว่าบางทีน้องเห็นคุณพ่อเยอะเวลาเขาไปดูคอนเสิร์ต เขาก็จะเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่เวลาทำแล้วมันคือการเอนเตอร์เทนคนดู ทำให้คนดูสนุก เพราะเราเล่าให้เขาฟังว่าเวลาที่คุณพ่อร้องเพลงแล้วคุณพ่อบิวต์คนดู อันนี้คือการเสียงดัง แต่พอเราออกมาข้างนอก เราก็ต้องบอกว่าอันนี้ไม่ได้นะ ไม่ใช่เวทีคอนเสิร์ต เราไม่ได้ไปคอนเสิร์ต เราจะเสียงดังไม่ได้เลย เราอยู่ในที่สาธารณะ มีผู้คนเยอะแยะ”

ตูน: “ผมว่าความยากของผมแหละในการบอกให้เขาเข้าใจว่างานของเราคืออะไร เราขึ้นไปบนเวทีเราเสียงดัง เราตะโกน เราเกรี้ยวกราด นั่นมันคือการแสดงออกทางด้านอารมณ์ มันคือดนตรีนะ มันคือการแสดงทำให้คนมีความสุข แต่พอเขาไปดู แล้วเขาคิดว่านั่นคือปกติ แต่เขามาใช้ชีวิตประจำวันในเสียงแบบนั้นในความรู้สึกแบบนั้น เราก็ต้องค่อยๆ สอนเขา เราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่เขารับรู้ได้เองว่าข้างบนกับข้างล่างมันคนละที่กัน”

ก้อย: “แต่ก้อยก็บอกลูกนะว่าคุณพ่ออยู่ข้างบน คุณพ่อเป็นแบบนั้น แต่พอเวลาลงมาข้างล่างเห็นไหมว่าคุณพ่อพูดเบา พูดปกติเลย ก็เลยแบบโอเคถ้าเราอยากเห็นลูกเป็นยังไง เราทำให้ลูกดูก่อน วันนี้เขาอาจจะไม่รู้ หรืออาจะอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ก็ค่อยๆ สอนเขาไป และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขา ให้เขาเห็น ให้เขาศึกษา”

เขามีขอเสียงบ้างไหม?
ตูน: “ตลอดเวลาๆ (ยิ้ม)”
ก้อย: “แต่เราบอกว่าถ้าอยู่ด้วยกันเองในบ้านอย่างนี้ทำได้ แต่ถ้าสมมุติไปข้างนอกเราอาจจะนิดนึงนะลูก”

เวลาไปคอนเสิร์ตกับพ่อเขาจะร้องเพลงไหม?
ตูน: “ทุกวันเลยครับ มันเป็นเหมือนกิจวัตรผมด้วย เราก็จะบอกเขาว่าวันนี้พ่อไปร้องเพลงนะ ไม่อยู่หนึ่งคืนนะ นอนกับแม่ เป็นเด็กดีนะ คำถามของเขาก็คือ พ่อร้องกี่เพลง พ่อร้องเพลงอะไรบ้าง คนนั้นคนนี้มาไหมที่เขาเคยไปดูที่มาร้องฟีทเจอริ่งทำไมไม่มา เราก็อธิบายว่ามันไม่ใช่คอนเสิร์ตใหญ่ มันเป็นคอนเสิร์ตปกติ เขาไม่ได้มา”

มีอยากร้องกับคุณพ่อไหม?
ก้อย: “มี เขาพูดบ่อยมากว่าเดี๋ยววันนี้หนูจะไปร้องที่วันแบงก์ค็อก หนูจะไปเป็นเกสต์ให้คุณพ่อ ทะเลจะไปเล่นคอนเสิร์ตกับพ่อ คือเขาพร้อมแล้วที่จะขึ้นเวที (หัวเราะ) ก็เลยบอกว่าก่อนขึ้นเวทีเราต้องซ้อมก่อนนะ ถ้าทะเลอยากขึ้นไปร้องเพลง อยากตีกลอง ทะเลต้องหัดตีกลอง”

เขาชอบเพลงไหนเป็นพิเศษไหม?
ตูน: “เยอะมาก”
ก้อย: “ดัมมะชาติ วิชาตัวเบา”
ตูน: “แต่เขาชอบเพลงลึกๆ เป็นความแปลกของทะเลอย่างนึง เขาชอบฟังเพลงแบบบีไซด์ อย่างความฝันกับจักรวาลเป็นเพลงที่ลึกมาก ขึ้นรถทีไรก็ให้เปิดให้ฟังตลอด”

เขาชอบการร้องเพลงหรือการตีกลองมากกว่ากัน?
ตูน: “เขาทั้งเล่น ทั้งร้อง ทั้งหัดนับจังหวะ ก็เลยไปพร้อมๆ กัน ก็ส่งไปเรียนตีกลอง ตอนแรกคุณครูเขาจะไม่รับเรียน เพราะเขาแค่ 3 ขวบ ยังไม่ 4 ขวบ เขาก็เทสต์ตัวเองก่อนว่ามีสมาธิพอที่จะฟังไหม พอเทสต์ คุณครูก็อนุญาตให้เรียนได้”

ก้อย: “เขาเห็นถึงความตั้งใจ ความสนใจของน้อง เพราะเขาคงชอบตีกลองมากๆ คุณครูก็เลยโอเค ลองสอนดู ก็ให้เรียน ตอนนี้ก็เริ่มเรียนตีกลอง”

หลายคนบอกต้องให้พี่ชัชมาสอน?
ก้อย: “(ยิ้ม) ได้นะ ชัชสอนได้ เขาสอนบ่อย แต่กลัวจะตีไปด้วย แล้ววิ่งไล่จับไปด้วยตอนนี้”

ถามถึงล่าสุดที่น้องวิวขึ้นไปตีกลองด้วย?
ตูน: น้องเขาเตรียมไม้กลองมาเลย เราก็เห็นว่าน้องมีความตั้งใจมาก แล้วก็รอจังหวะ แล้วคุณแม่เขาก็อยากให้น้องวิวขึ้นมาแสดงความสามารถ เพราะมันเป็นเพลงแสงสุดท้ายซึ่งผมคิดว่าน้องเขาน่าจะซ้อมเพลงนี้มา แล้วก็เป็นเพลงที่คิดว่าคนหัดเล่นกลองน่าจะเล่นได้ ก็จังหวะและโอกาสมาพอดีก็เลยให้น้องขึ้นมา”

กำลังใจเยอะมากวันนั้น?
ตูน: “วันนั้นผมเห็นน้องวิวตี มันได้พลังงานดีๆ กลับมาด้วย ผมคิดว่าทุกคนในฮอลล์วันนั้นทุกคนส่งเสียงมากขึ้น ดังกว่าเชียร์บอดี้สแลมอีก เป็นโมเมนต์ที่ดีมาก”

หลายๆ ครั้งที่ศิลปินและก็เพลงของพี่ตูน ส่งต่อให้กับคนดูที่ผ่านมารู้สึกยังไงบ้าง?
ตูน: “มันดีใจ ปลาปลื้มใจมากที่ในตอนแรกเพลงต่างๆ ที่เราปล่อยมาเราตั้งใจทำเพื่อ บอกเล่าเรื่องตัวเอง เพื่อให้กำลังใจตัวเองด้วยซ้ำ จะเป็นเพลงความเชื่อก็ดี เพลงแสงสุดท้าย หรือเรือเล็กควรออกจากฝั่ง เราแค่อยากร้องเพลงอะไรที่เราเยียวยาตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองในวันที่เรากำลังอยากจะมุ่งสู่อะไรสักอย่างที่มันสำเร็จ แล้วสุดท้ายเพราะเพลงที่เราร้องให้กำลังใจตัวเอง มันตกกระทบกับทุกคนและทุกๆ คนได้รับพลังงานดีๆ จากมัน มันรู้สึกว่ามันวิเศษมากเลย อย่างน้องวิวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นว่าเพลงที่เราตั้งใจทำมาตลอด 23 ปี มันไปตกกระทบกับน้องเขา แล้วทำให้เขามีแพชชั่นอะไรบางอย่างในการลุกขึ้นมาตีกลองหรือเล่นดนตรี และใช้เพลงของบอดี้สแลม เป็นความสุขของน้องเขา คือมันดีมาก”

เมื่อกี้น้องทะเลบอกชื่อพี่สามจะมีเพิ่มหรือเปล่า?
ก้อย: “งงมาก เขาบอกว่าตัวเองชื่อพี่สาม แล้วถามว่าพี่ทะเลล่ะ เขาบอกว่าพี่ทะเลไปญี่ปุ่นบ้าง พี่ทะเลไม่อยู่ตอนนี้เขาชื่อพี่สาม แล้ว เขาก็ให้แทนตัวเองว่าพี่สาม ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสาม ทะเลเป็นพี่คนแรก แล้วน้องเวลาเป็นพี่สอง แล้วใครคือพี่สาม ทุกคนก็เลยแซวว่าหรือว่าต้องมีพี่สามไหม”

สรุปว่ายังไงดีเรื่องนี้?
ตูน: “ไม่ไหวแล้วครับ (หัวเราะ) บทหนักน่าจะอยู่ที่ก้อยมากกว่า ตั้งท้องช่วงนั้นลำบากจริง”

ก้อย: “มันก็โอเค เราว่าเราก็โชคดีแหละที่มันมีผู้ชายและผู้หญิงโดยที่เขาก็มาด้วยความธรรมชาติ ก็เลยรู้สึกว่าสองคนก็กำลังดี แล้วเราตอนนี้ก็เริ่มทำงานเยอะแต่ก้อยก็เริ่มกลับมาดูแลตัวเองบ้าง ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี แต่ถ้ามีอีกคนนึงมันก็ต้องกลับไปเริ่มใหม่อีก อายุเราถึงแม้ว่าจะดูเด็กกันทั้งคู่ แต่ก็ (หัวเราะ) ก็คิดว่าประมาณนี้ดีแล้วค่ะ”

ปิดอู่เลยไหม?
ตูน: “ณ ตอนนี้”
ก้อย: “แปลว่าไร ณ ตอนนี้ ปิดแล้ว”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.