การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยในการยกเว้นภาษีกำไรจากสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นมากกว่าแค่มาตรการกระตุ้นการลงทุน นโยบายที่ขับเคลื่อนโดยกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาอันทรงพลังที่ปลดล็อกภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
มาตรการเชิงบวกนี้ได้สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่และตลาดแรงงานยุคใหม่ ก่อให้เกิดมูลค่ามหาศาลตั้งแต่ตำแหน่งงานค่าตอบแทนสูง ไปจนถึงธุรกิจบริการเฉพาะทางที่ไม่เคยมีมาก่อน การวิเคราะห์นี้จะเป็นเครื่องมือในการศึกษางานใหม่และโอกาสทางธุรกิจที่เฟื่องฟู เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังวางตำแหน่งตนเองเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม
⦁แผนกกำกับดูแลและ AML: ผู้มีความสำคัญในด้านความน่าเชื่อถือ
เมื่อปริมาณธุรกรรมพุ่งสูงขึ้น แนวป้องกันแรกที่ต้องการการเสริมกำลังคือแผนกกำกับดูแล (Compliance) และงานป้องกันการฟอกเงิน (AML) ตำแหน่งเหล่านี้เผชิญกับการขาดแคลนอย่างรุนแรงท่ามกลางความต้องการที่สูง สะท้อนผ่านอัตราเงินเดือนระดับพรีเมียมที่ 1.6-5.5 ล้านบาทต่อปี สำหรับบทบาทตั้งแต่ KYC Analyst และ Risk Manager ไปจนถึง Compliance Director ในบริษัทชั้นนำของไทย
หน้าที่ความรับผิดชอบนี้ครอบคลุมการจัดตั้งระบบตรวจสอบลูกค้า (KYC/CDD) และติดตามธุรกรรมที่น่าสงสัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น กฎระเบียบ Financial Action Task Force (FATF) และมาตรฐานการรายงานร่วมของ OECD (CARF) ควบคู่กับกฎหมายไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบโดยรวม
⦁นักพัฒนาบล็อกเชนและสมาร์ทคอนแทร็กต์: สถาปนิกแห่งโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม
หากเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล นักพัฒนาก็เปรียบเสมือน ‘สถาปนิก’ ที่คอยออกแบบและสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดนวัตกรรม อาชีพเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมเมอร์ธรรมดา แต่เป็นผู้เปลี่ยนแนวคิดที่จับต้องไม่ได้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่เราใช้งานกันทุกวันนี้ ตลาดดิจิทัลที่กำลังโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีความต้องการนักพัฒนาจำนวนมาก โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น Blockchain Engineer ผู้ที่สร้างระบบหลักของบล็อกเชน, Web3 Developer ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบกระจายศูนย์ (dApps) ที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Smart Contract Auditor นักตรวจสอบความปลอดภัยที่คอยค้นหาช่องโหว่ในโค้ด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้มหาศาล
นักพัฒนาเหล่านี้อยู่เบื้องหลังบริการทางการเงินยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงวงการไปอย่างสิ้นเชิง เช่น ระบบการเงินไร้ตัวกลาง (DeFi) ที่เปิดให้ผู้คนสามารถกู้ยืมหรือค้ำประกันสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร, การสร้างโทเคนที่เชื่อมมูลค่ากับสินทรัพย์จริง (Asset Tokenization) เช่น อสังหาริมทรัพย์หรืองานศิลปะ เพื่อปลดล็อกสภาพคล่องให้กับสินทรัพย์เหล่านั้น รวมถึงการพัฒนา NFT Marketplace และระบบการชำระเงินข้ามประเทศที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดทั้งต้นทุนและเวลาในการทำธุรกรรม
สิ่งนี้ทำให้บริษัทเทคโนโลยีในไทยต่างเร่งขยายทีมและแย่งตัวนักพัฒนากันอย่างดุเดือด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การมีและรักษาคนเก่งไว้ในประเทศไม่ได้เป็นแค่การตอบสนองความต้องการของตลาด แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อเป้าหมายของไทย ในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคอย่างแท้จริง
ผู้ให้บริการระหว่างหน่วยงานธุรกิจกับหน่วยธุรกิจ (B2B business)
การเติบโตนี้ยังได้ก่อให้เกิดธุรกิจ B2B ที่เข้ามาทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ ได้แก่:
– บริษัทตรวจสอบความปลอดภัย: บริษัทเหล่านี้ตรวจสอบโค้ดสมาร์ทคอนแทร็กต์เพื่อหาช่องโหว่และสร้างความเชื่อมั่น ทำหน้าที่เทียบเท่าผู้สอบบัญชีแบบดั้งเดิมในยุคใหม่
– บริการออกโทเคนครบวงจร: บริษัทที่ปรึกษาที่ช่วยองค์กรธุรกิจออกแบบและสร้างโทเคนดิจิทัลรูปแบบต่างๆ เพื่อแคมเปญการตลาด หรือการระดมทุน ทำหน้าที่เทียบเท่านักวาณิชธนกิจ
– ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและภาษี: สำนักงานกฎหมายที่จัดตั้งแผนกสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ เพื่อให้คำแนะนำในประเด็นกฎหมายที่ซับซ้อน
– ข้อมูล การวิเคราะห์ และความปลอดภัยไซเบอร์: สินทรัพย์ดิจิทัลทำงานด้วยระบบกระจายศูนย์ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังการโจมตีจากผู้ไม่ประสงค์ดี สร้างความต้องการตำแหน่งที่สามารถวิเคราะห์และปกป้องระบบจากภัยคุกคาม
– นักวิเคราะห์ข้อมูล: ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ระบบบล็อกเชน เพื่อช่วยแพลตฟอร์มปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้
ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์: ผู้เชี่ยวชาญที่ปกป้องแพลตฟอร์มและทรัพย์สินของลูกค้าจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ทุกรูปแบบ รวมถึงการละเมิดข้อมูลและการโจมตีฟิชชิงนักวิเคราะห์อาชญากรรมทางการเงิน: ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ Machine Learning และ AI ในการวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมที่ซับซ้อน เพื่อตรวจจับและป้องกันการฟอกเงิน
⦁สร้างความเข้าใจ: ด้านการตลาด นักลงทุน และการศึกษา
ภาพรวมตลาดแรงงานได้แสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน โดยข้อมูลจากแพลตฟอร์มจัดหางานชั้นนำชี้ว่าปัจจุบันมีตำแหน่งงานสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกว่า 300 ตำแหน่ง การเติบโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สายเทคนิค แต่ได้ขยายครอบคลุมไปถึงตำแหน่งบริหารจัดการระดับองค์กร เช่น Finance Manager ผู้สามารถบริหารเงินคงคลังดิจิทัล และ Risk Manager ที่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะตัวของอุตสาหกรรม ไปจนถึงสายงานด้านการสื่อสารและการสร้างความเข้าใจอย่างยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทั้ง Marketing Manager ในการดูแลชุมชนออนไลน์ และ Education Specialist ที่มุ่งให้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อต่อสู้กับข้อมูลบิดเบือน ทั้งหมดนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างครบวงจร
⦁บทสรุป: จาก ‘โอกาส’ สู่ ‘รากฐาน’ เพื่อมุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางดิจิทัล
นโยบายยกเว้นภาษีคริปโทได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการจุดประกายและดึงดูดเงินทุน แต่ที่ยั่งยืนกว่านั้นคือการสร้าง “ตลาดแรงงานดิจิทัลยุคใหม่” ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม การต่อยอดให้ไทยกลายเป็น “Digital Asset Hub of Southeast Asia” ได้อย่างแท้จริงนั้น การบ้านชิ้นต่อไปของภาครัฐและเอกชนคือการสร้างความยั่งยืนหลังปี 2029 ผ่านการสนับสนุนการพัฒนาทักษะบุคลากร (Reskilling & Upskilling) และการวางกรอบนโยบายที่ชัดเจนสำหรับอนาคต
การปรับปรุงนโยบายในครั้งนี้เป็นการรับประกันว่าตำแหน่งงานและธุรกิจหลายตำแหน่งที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่แค่คลื่นที่ซัดเข้ามาแล้วหายไป แต่จะกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทศวรรษหน้าของการที่ประเทศไทยจะก้าวให้เป็นผู้นำศูนย์กลางดิจิทัล