(22 ก.ค. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 9/2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำจากอิทธิพลของ "พายุวิภา" และร่องมรสุมที่คาดว่าจะส่งผลให้มีฝนตกหนักทั่วประเทศ
ดร.สุรสีห์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า พายุ "วิภา" จะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้นหลายพื้นที่ในช่วงวันที่ 23 - 31 กรกฎาคม นี้ คาดการณ์ว่าจะมีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งจำนวนมาก อาทิ
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น สทนช. ได้เร่งดำเนินการพร่องน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบไปแล้วล่วงหน้า เพื่อสร้างพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจะติดตามและปรับแผนการจัดสรรน้ำตามสถานการณ์ฝนอย่างต่อเนื่อง
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า แม่น้ำหลายสายในตอนบนของประเทศมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะ
เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยง ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดหนองคาย และลุ่มน้ำโขงเหนือ จังหวัดเชียงราย ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว และที่ประชุมในวันนี้ยังมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) เพิ่มเติม ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ลุ่มน้ำยม - น่าน ณ จังหวัดสุโขทัย เพื่อแก้ไขสถานการณ์น้ำหลากและอุทกภัยในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต่างๆ ของภาคเหนือที่เพิ่มขึ้นกำลังทยอยไหลลงมาบรรจบที่จังหวัดนครสวรรค์ ส่งผลให้มีมวลน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น โดยกรมชลประทานได้แจ้งปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 700 - 1,200 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยจะควบคุมการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ตอนบนและคำนึงถึงการขึ้นลงของน้ำทะเล
ในช่วงเย็น (22 ก.ค. 68) จะปรับเพิ่มการระบายน้ำจากอัตรา 800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็นอัตรา 900 ลบ.ม. ต่อวินาที ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้มีการ แจ้งเตือนประชาชนบริเวณท้ายเขื่อนล่วงหน้า หากมีการระบายน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับมือ
ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีฝนตกหนักในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2568 ประกอบกับภาวะน้ำทะเลหนุน โดยมีเกณฑ์ควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านจุดสำคัญต่างๆ ดังนี้
ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับกำชับให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ สทนช. ได้มีการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์และประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่นำไปดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า หลังจากพายุ "วิภา" สลายตัว จะยังคงต้องติดตามความต่อเนื่องและความรุนแรงของร่องมรสุมที่มีโอกาสพาดผ่านประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยจะประเมินสถานการณ์แบบรายวันเพื่อให้สามารถเตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที