วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดีอี (Top Executives) ครั้งที่ 7/2568 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอี เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และผ่านระบบ Video Conference
นายประเสริฐ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้มีการหารือร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงดีอี โดยมีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.เรื่องการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ประจำปี ค.ศ. 2025 (APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting) ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมให้ความสำคัญกับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยประเทศไทยได้ร่วมให้ความคิดเห็นในเรื่องของการพัฒนา AI และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยได้มีการกล่าวถึงเรื่องของข่าวปลอม และมาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์
2.การขับเคลื่อนโครงการ “ 1 อำเภอ 1 ไอทีแมน” หรือ “โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ” โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ซึ่งปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ดิจิทัลอำเภอได้ดำเนินการปฏิบัติงานในพื้นที่ 878 อำเภอทั่วประเทศแล้ว พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มขึ้น 500 แห่ง รวมเป็นจำนวนประมาณ 2,300 แห่งทั่วประเทศ และ3.การยกระดับการต่อต้านข่าวปลอม ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการแต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม” หรือ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ” ขึ้น ซึ่งมีตนเป็นประธานฯ พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานฯ โดยบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านการประชาสัมพันธ์ ทำงานร่วมกัน อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแหง่ชาติ (ตร.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
สำหรับการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าว เพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่ปัจจุบันมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่สร้างขึ้น และถูกส่งต่อกันทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีการเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสม บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างข่าวปลอม ก่อให้เกิดการปลุกระดม ยั่วยุ สร้างความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยกระทรวงดีอี ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) ร่วมปฏิบัติงานเฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวปลอมตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 31 กรกฎาคม 2568 พบว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความทั้งหมด 1,188,564,734 ข้อความ โดยมีจำนวนข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 2,279,897 ข้อความ ซึ่งแยกเป็นเรื่องที่ส่งตรวจสอบ จำนวน 41,882 เรื่อง สามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่ข่าวสารที่ผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้
- เรื่องนโยบายรัฐบาลและความมั่นคง 20,052 เรื่อง
- เรื่องสุขภาพ 14,713 เรื่อง
- เรื่องเศรษฐกิจ 2,229 เรื่อง
- เรื่องอาชญากรรมออนไลน์ 2,794 เรื่อง
- เรื่องภัยพิบัติ 2,094 เรื่อง
ขณะเดียวกันมีเรื่องที่ได้รับการตรวจสอบแล้วจำนวนทั้งหมด 21,622 เรื่อง โดยแบ่งเป็น (1) ข่าวปลอม จำนวน 7,714 เรื่อง (2) ข่าวจริง จำนวน 8,577 เรื่อง (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 2,456 เรื่อง (4) ข้อมูลไม่เพียงพอ จำนวน 2,875 เรื่อง
"ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และยกระดับการดำเนินการเรื่องของข่าวปลอมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ ซึ่งนอกจากการตรวจสอบเฝ้าระวัง และดำเนินการปิดกั้นข่าวปลอมแล้ว ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะมีหน้าที่ทำงานเชิงบวกในการชี้แจงและทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงของข่าวเพื่อที่จะสามารถสื่อสารให้กับประชาชนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยมีการหารือร่วมกับแพลตฟอร์มทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจและขอความร่วมมือในการปิดกั้นข่าวปลอมที่มีการเผยแพร่ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ" รองนายกฯ ประเสริฐ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขอเตือนประชาชนว่าการนำข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอม ไม่ว่าจะเป็นการปลอมทั้งหมด หรือแค่บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่โดยตรง หรือการแชร์ส่งต่อ ล้วนมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ โดยผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ