ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารโลก นวัตกรรมคือกุญแจสำคัญที่จะยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไกล สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ที่ได้จัดทำโครงการ Thai Kitchen: Crafted FoodTech Accelerator Program เพื่อผลักดันผู้ประกอบการด้านอาหารรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพแข่งขัน เพิ่มคุณค่าแก่ผลิตภัณฑ์ไทย และยกระดับมาตรฐานสู่เวทีสากลไอศกรีมแบรนด์ แบรนด์ Molly Ally
โดยโครงการดังกล่าวได้มีการจัดกิจกรรม Thai Kitchen: Demo Day เวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร 10 บริษัท ที่ผ่านการบ่มเพาะจากโครงการ Thai Kitchen: Crafted FoodTech Accelerator Program ได้แสดงศักยภาพต่อหน้านักลงทุน ผู้ส่งออก และภาคีเครือข่ายจากทั้งภาครัฐและเอกชนชั้นนำ เพื่อสร้างโอกาสขยายการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมประกาศผลผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ The Best Performance Award ได้แก่ บริษัท มอลลี่อัลลี่ จำกัด รองชนะเลิศ ได้แก่บริษัท นาอีฟ อินโนว่า จำกัด และรางวัล Popular Vote ได้แก่ บริษัท ทานดี อินโนฟูด จำกัด
สำหรับบริษัท มอลลี่อัลลี่ จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยกานต์ชนิต บุบผาชื่น และ โชติมา มีมุ่งธรรม 2 Co-founder ที่ตั้งใจทำไอศกรีมแพลนต์เบสแบรนด์ Molly Ally สูตรพิเศษจากพืชหลายชนิด ละมุน เนื้อสัมผัสและรสชาติเหมือนไอศกรีมจากนมวัว ไม่มีคอเลสเตอรอล น้ำตาลต่ำ มีรสชาติให้เลือกมากมาย ให้ทุกคนที่ชื่นชอบการทานไอศกรีมไม่ต้องความกังวลเรื่องแคลอรี่และสุขภาพ
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Molly Ally กานต์ชนิต บุบผาชื่น ได้เล่าว่า ไอศกรีมเป็นของหวานที่หลายคนชื่นชอบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทานได้อย่างสบายใจ เนื่องจากกังวลเรื่องแคลอรี่และความไม่เฮลตี้ของมัน นี่จึงเป็นที่มาของ “Molly Ally” ไอศกรีมแพลนต์เบสจากพืช (Plant-based Ice Cream) ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังศึกษาปริญญาโท MIM ม.ธรรมศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 9 เดือน ทีมงานได้ทำการวิจัยและทดลองด้าน Business Feasibility อย่างจริงจัง โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยแนะนำและช่วยพัฒนาให้โปรเจกต์มีความสมบูรณ์ จนสามารถพิสูจน์ได้ว่าตลาด Plant-based มีอยู่จริงและมีศักยภาพในการเติบโต
ไอศกรีมแพลนต์เบสจากพืชจึงถูกส่งเข้าร่วมประกวดในเวที New Venture Champion 2021 (NVC) การแข่งขันแผนธุรกิจระดับโลกที่จัดโดย Lundquist College of Business, University of Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยกว่า 75 แห่งจากทั่วโลกเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งทีมสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ และต่อยอดสู่การเป็นธุรกิจจริงในปัจจุบัน ภายใต้แบรนด์ Molly Ally
กานต์ชนิต กล่าวต่อว่า คอนเซ็ปต์ของ Molly Ally คือการทำให้รสชาติอร่อย เข้มข้น และครีมมี่เหมือนกับการกินไอศกรีมนมวัว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดีต่อสุขภาพ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังเลือกใช้ความหวานจากน้ำตาลช่อดอกมะพร้าวซึ่งเป็น Low GI ให้แคลอรี่น้อยกว่าน้ำตาลทั่วไปเกินครึ่ง ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังเป็นสูตรวีแกนอีกด้วย และได้ใส่ใจความยั่งยืนโดยเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ส่วนวัตถุดิบก็มีการรับตรงจากสวนออร์แกนิกของเกษตรกร Molly Ally จึงเป็นไอศกรีมไม่เพียงดีต่อร่างกาย แต่ยังดีต่อโลกด้วยปัจจุบัน Molly Ally มีมากกว่า 50 รสชาติ เพื่อให้ลูกค้าได้ลองรสชาติที่หลากหลาย หน้าร้านทั้ง 6 สาขาจะมีรสชาติหมุนเวียนแตกต่างกันไป บางสาขามีให้เลือก 20 รสชาติ บางสาขามี 10 รสชาติ ทำให้ทุกครั้งที่มา ลูกค้าจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และ Molly Ally จะสามารถขยายตลาด ไม่ใช่แค่กลุ่ม Plant-based แต่คือกลุ่ม Health-conscious ที่ทุกคนสามารถเข้ามาทานได้เหมือนร้านขนมหวานในเวอร์ชันเฮลตี้” กานต์ชนิต กล่าว
โชติมา มีมุ่งธรรม อีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ขาดไม่ได้ของแบรนด์ Molly Ally กล่าวว่า ช่วงที่เริ่มทำไอศกรีมแพลนต์เบส ตลาดแพลนต์เบสในไทยกระแสยังไม่ได้บูมมากนัก แต่หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งปี เทรนด์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น และตรงกับช่วงที่กำลังเปิดตัวพอดี ทำให้ Molly Ally กลายเป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่เข้าจังหวะพอดี จริง ๆ และทำการรีเสิร์ชอย่างจริงจังทำให้มั่นใจว่าเทรนด์แพลนต์เบสและการดูแลสุขภาพจะเติบโตแน่นอน สิ่งที่คิดต่อคือ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่ใช่แค่อาหารสุขภาพ ที่กินแบบฝืนใจ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้คนมีความสุขกับการกินได้ อร่อย เอนจอย และยังดูแลตัวเองไปพร้อมกันได้
โชติมา กล่าวถึงวัตถุดิบที่เป็นนม ซึ่งได้เลือกใช้นมจากพืชหลากหลายประเภท เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ โอ๊ตมิลค์ ซอยมิลค์ รวมถึงนมมะพร้าวและนมข้าว เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกสำหรับผู้ที่แพ้นมบางชนิดหรือมีข้อจำกัดด้านอาหาร เนื่องจากความหลากหลายของลูกค้า ทั้งผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและมีความกังวลด้านโภชนาการแตกต่างกัน บริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม และในแต่ละรสชาติไอศกรีม จะมีข้อมูลโภชนาการ เช่น แคลอรี่ โปรตีน และน้ำตาล พร้อมทั้งผ่านการตรวจสอบคุณภาพและโภชนาการจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน FCA ทำให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย
ไอศกรีมเพื่อสุขภาพที่มีเพิ่มขึ้นในตลาด โชติมา มีมุมมองว่า แม้ในปัจจุบันจะมีแบรนด์ไอศกรีมเพื่อสุขภาพอื่น ๆ เกิดขึ้นมาก แต่ยังคงมองว่าไม่ใช่การแข่งขันโดยตรง เพราะเป้าหมายของเราคือการเป็นทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ ทำให้ลูกค้าสามารถบริโภคได้อย่างไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างจากไอศกรีมทั่วไป ผ่านความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทุก ๆ รสชาติ ซึ่งการได้เข้าร่วมโครฃการกับ NIA ทำยิ่งทำให้เห็นโอกาสในการสร้างที่ยืนและแข่งขันกับแบรนด์ต่างประเทศได้
ทั้ง 2 Co-founder ได้กล่าวอีกว่า สำหรับรางวัลที่ได้รับในโครงนี้จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยในการทำแผนขยายตลาด ด้านมาร์เก็ตรีเสิร์ชและการทดลองตลาดในต่างประเทศ โดยประเทศแรกที่วางแผนไว้คือ สิงคโปร์ ซึ่งมีความเหมาะสมทั้งด้านระยะทางในการขนส่งไอศกรีมและความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพและมีความสนใจในผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส ทำให้สามารถทดลองตลาดและเก็บข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่อยอดไปยังตลาดในออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างแบรนด์ระดับโลก โดยคาดว่าภายใน 5 ปี ธุรกิจจะสามารถเติบโตอยู่ที่ 85% CAGR/ปี หรือมีรายได้ประมาณ 190 ล้านบาท
ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA กล่าวว่า จากการบ่มเพาะผู้ประกอบการ 10 ราย พบผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากฐานนวัตกรรมอาหารไทย ซึ่งไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ยังสะท้อนถึงการยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยในการแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โครงการนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนของ NIA ที่ครอบคลุมทั้งเงินทุน โอกาส และทิศทางการขับเคลื่อนนวัตกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ การพัฒนาทักษะการตลาด การเชื่อมโยงเครือข่าย และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาด
ดร.กริชผกา กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ปรับปรุงกระบวนการผลิต สร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง และเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตลาด หลายรายสามารถเพิ่มรายได้และขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ และเปิดโอกาสให้สร้างเครือข่ายกับนักลงทุน ผู้ส่งออก และพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม NIA พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้ผลงานของผู้ประกอบการไทยกลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย และสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารหรือ “ครัวของโลก”