มุมมองนักวิชาการถอดบทเรียนเนปาล ย้อนมองการเมืองไทย ชี้ต้องไม่กดขี่ปิดกั้นเสรีภาพ
GH News September 16, 2025 03:42 PM

มุมมองนักวิชาการถอดบทเรียนเนปาล ย้อนมองการเมืองไทย ชี้ต้องไม่กดขี่ปิดกั้นเสรีภาพ

ผศ.นพพร ขุนค้า อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวถึงเหตุการณ์ การออกมาประท้วงของประชาชนในประเทศเนปาล ที่เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หากย้อนประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1990 และปี ค.ศ.2006 ก็ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แต่การประท้วงครั้งนี้ที่น่าจับตาก็ คือ เป็นกลุ่มคนที่เราเรียกว่ากลุ่มเจนซี (Z) ที่เขาพร้อมใจกันออกมาแสดงถึงพลังของเด็กรุ่นใหม่

ในการที่ไม่พอใจต่อสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองของเนปาล ก็คือความเหลื่อมล้ำและการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลรวมถึงในระบบราชการ และยังมีการปิดกั้นเสรีภาพในการใช้สื่อต่างๆ ที่มีการแบนแอปพลิเคชันในกลุ่มที่พวกวัยรุ่นเขาใช้กัน จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ และยังมีระบบอุปถัมภ์ของพวกลูกท่านหลานเธอ ทั้งยังมีการเอามาอวดร่ำอวดรวยกัน หรือทำอะไรที่ไม่เกรงใจต่อประชาชน

ซึ่งเป็นการคอร์รัปชั่นอย่างหนัก โดยไม่คำนึงถึงเสรีภาพของประชาชน และยังจะมาปิดปากพวกเขาอีก ด้วยข้ออ้างที่ว่าเพลตฟอร์มทั้งหลายเหล่านั้น จะต้องขึ้นทะเบียนเพื่อตรวจสอบ โดยเกรงว่าจะได้รับการเสพข่าวเฟคนิวส์และการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น จึงเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลที่กดขี่ข่มเหง ปชช.เหล่านี้ต้องเรียนรู้ ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเนปาลที่มีอัตราการว่างงานสูง เขาจึงได้แสดงพลังออกมาให้เห็นว่า การที่ถูกเพิกเฉยต่อเสรีภาพ การที่เพิกเฉยต่อการคอร์รัปชั่นอย่างอิ่มหนำสำราญ โดยไม่ได้คำนึงถึงคนที่เป็นอนาคตของชาติบ้านเมือง

พวกเขาจึงได้แสดงพลังออกมาให้เห็นเป็นสำคัญ จนทำให้โลกต้องหันมาจับตามองดูประเทศเนปาล และเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงที่เนปาลเพียงแห่งเดียว ในอินโดนีเซียก็มี จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ว่าการปิดกั้นสิ่งเหล่านี้ และการที่จะทำอะไรของผู้ที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ โดยไม่เกรงใจต่อสายตาประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่เขาเข้าถึงสื่อในโลกออนไลน์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ผลก็จะออกมาในรูปแบบนี้ และนำมาสู่ความรุนแรง โดยเข้าใจว่าเขาไม่มีวิธีอื่นที่จะแสดงออกได้ หรือไม่มีทางออก จึงเป็นวิถีทางเดียวที่เขาจะทำได้ในขณะนี้

ในการแก้ไขนั้น เขาก็ได้พยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลชั่วคราวที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหา อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การที่จะไม่ปล่อยให้ระบบการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น ทั้งในระบบการเมือง หรือระบบราชการอย่างกว้างขวาง และลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาสผู้คนในการแข่งขันเข้าเป็นข้าราชการหรือ จนท.ของรัฐด้วยระบบคุณธรรม และมีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ไม่ไปกองอยู่ที่คนเพียงกลุ่มเดียวที่มีอำนาจในประเทศ จึงมองว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ลงไปได้

และที่สำคัญคือ ต้องให้เสรีภาพในการแสดงออกต่อคนหนุ่มสาวเหล่านี้ด้วย ต้องให้พื้นที่เขา โดยให้เขามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนด้วยรูปแบบของประชาธิปไตยในการเข้าไปแก้ปัญหา

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนปาล หากจะย้อนหันกลับมามองการเมืองในไทย ก็จะมีเหตุการณ์ที่มีความใกล้เคียงกัน คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 รวมถึงพฤษภาทมิฬ ที่มีคนหนุ่มสาวออกมาเรียกร้องในเรื่องทางการเมืองและผู้นำประเทศที่เพิกเฉยต่อเรื่องของการคอร์รัปชั่น เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ความรุนแรงของไทยหรือสังคมของไทยเรานั้น ยังไม่ได้ไปถึงยังจุด จุดนั้น และเชื่อว่าสังคมไทยจะไม่มีความรุนแรงไปถึงขนาดนั้น

แต่ขอให้มองเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนไว้ว่า การกระทำอะไรของฝ่ายการเมืองหรือระบบราชการที่ไปปิดกั้นจนทำให้ประชาชนเข้าถึงไม่ได้นั้น อย่าคิดว่าจะทำอะไรแล้วไม่ต้องเกรงใจประชาชนได้ โดยตนไม่ได้บอกว่าจะไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นไม่ได้ จึงอย่ามองแต่การแบ่งผลประโยชน์กันกับกลุ่มการเมืองและพรรคพวก ในขณะที่ปราชาชนเขาได้จ้องมองต่อพฤติกรรมของคนเหล่านี้อยู่ ฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ประกอบกับการจับขั้วรัฐบาลที่มีข่าวที่เกี่ยวกับการจัดตั้ง ครม.หรือการแบ่งเค้กอะไรกันนั้น เมื่อได้เข้ามามีอำนาจแล้วก็ต้องพึงระวัง

อย่าปล่อยให้คนเขามองการเมืองกันไปว่า เป็นการแบ่งผลประโยชน์หรือแย่งผลประโยชน์กัน ฉะนั้นแล้วต้องเข้าใจว่าโลกสมัยใหม่นี้ทุกอย่างมันรวดเร็ว ตามที่เห็นกันได้ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการข้าราชการ การเมือง หรือแม้แต่ในวงการสงฆ์ ที่ไปได้อย่างรวดเร็วผ่านทางโลกออนไลน์ที่มันสามารถสื่อสารไปถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นแล้วจึงได้พูดอยู่เสมอว่า สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายการเมืองไม่ค่อยพูดถึงกัน คือ การปฏิรูประบบราชการของไทยอย่างจริงจัง รวมทั้งเรื่องการคอร์รัปชัน เรื่องระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการ เรื่องแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆ นั้น ต้องพึงระวังแม้จะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ใช่ว่าจะไม่เกิด

สำหรับมุมมองต่อเด็กเจนซีนั้น ส่วนตัวดีใจที่คนวัยนี้เขาสนใจทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาในอดีตการสนใจการเมืองในประเทศที่เจริญ ประชากรเขาจะมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง เพราะอย่าลืมว่าการเมืองมันคือชีวิตของพวกเราเอง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของนักการเมือง ฉะนั้นแล้วการที่คนหนุ่มวสาวเขาตื่นตัวในเรื่องการเมือง จึงมองว่าเป็นสิ่งที่ดีในทุกประเทศ เราอย่าไปปิดกั้นอย่างเช่นแต่ก่อน ที่เคยสอนลูกหลานกันว่าอย่าไปยุ่งเรื่องการเมือง หรือสนใจว่าใครจะเป็นนายกฯ ใครเป็น รมต. เราก็ยังต้องทำมาหากินกัน

ซึ่งคำพูดลักษณะนี้เป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งทำมาหากินก็ยิ่งต้องสนใจการเมือง เพราะการเมืองคือชีวิตของพวกเรา แต่การเมืองนั้นผู้เล่นต้องพึงระวัง ต้องไม่ปล่อยให้เกิดระบบอุปถัมภ์ ต้องไม่ให้มีคอร์รัปชั่น ระบบราชการต้องปฏิรูปอย่างจริงจัง ระบบพรรคพวกหรือการแต่งตั้งต่างๆ นั้น ก็ขอให้โปร่งใส จึงถอดบทเรียนจากเนปาลสู่เวทีโลกได้ แม้กระทั่งประเทศไทย ฉะนั้นแล้วก็ต้องฝากไปยังฝ่ายการเมืองว่า ในสภาวะที่ไทยเองกำลังจะตั้ง ครม. หรือฟอร์มคณะรัฐบาล ก็อยากฝากไปถึงยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ให้ได้เรียนรู้ไว้ และการปฏิรูประบบราชการนั้นต้องทำควบคู่ไปกับการปฏิรูปการเมือง หรือการแก้ รธน.ที่เราต้องการอยู่ในขณะนี้ด้วย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.