‘นายกฯ อนุทิน’ รับลูก 4 ข้อเสนอหอการค้าบรรจุเป็นนโยบายเศรษฐกิจ ด้าน ‘เอกนิติ” สั่งธปท.จับตาเงินไหลเข้าผิดปกติป่วนบาทแข็ง เตรียมมาตรการรักษาเสถียรภาพเงินบาท
ที่หอการค้าไทย วันที่ 18 ก.ย. เมื่อเวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนำว่าที่คณะรัฐมนตรีประจำกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง, นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รมช.คลัง, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รมว.พลังงาน, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะเร่งด่วน
โดยนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจ ได้รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ และความต้องการจากภาคเอกชนที่จะให้รัฐบาลสนับสนุนและช่วยเหลือ เพื่อให้การประกอบธุรกิจคล่องตัว ซึ่งมีทั้งเรื่องของปัญหาเงินทุน หนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ค่าพลังงาน แรงงาน โลจิสติกส์ และโอกาสของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งได้หารือในรายละเอียดพอสมควร และหลังจากนี้จะมีการหารือในรายละเอียดแต่ละเรื่องต่อไป
ทั้งนี้ การมาคุยกับภาคเอกชน เพื่อทลายข้อจำกัดที่มีอยู่ เน้นการทำให้ภาคเอกชนทำธุรกิจอย่างคล่องตัว เราจะเร่งฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจให้เข้มแข็งภายในระยะเวลาอันสั้น เราจะรวบรวมข้อเสนอภาคเอกชนทั้งหมด เข้าไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา
“ในช่วงระยะเวลา 4 เดือนที่เข้ามาบริหารประเทศ ยืนยันว่าเศรษฐกิจจะไม่ถอยหลังอย่างแน่นอน จะพยายามเต็มที่ให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ผมใจกว้าง ไม่คิดหรอกว่า นโยบายที่ผลักดัน เป็นนโยบายของใคร กลุ่มใด หรือผมไม่ได้คิดเอง แต่ผมยืนยันว่า ถ้าเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อประเทศ ผมทำหมด เพราะเวลามีแค่นี้ ถ้าจะไปกลัวใครดีเด่นดัง หรือได้เครดิต ไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดผลักดันแล้วสำเร็จ คนที่คิดโครงการนั้นก็ได้เครดิต ตัวผมผู้ผลักดันก็ได้ ก็วินวิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะคนหนึ่งแพ้ ถ้าอย่างนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง ถ้าวินวินด้วยกัน ผมก็ไม่สนใจ”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รมว.คลัง กล่าวถึงกระแสข่าวมีเงินทุนไหลเข้าไทยผิดปกติ ส่วนหนึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ประเด็นดังกล่าว ได้หารือร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเตรียมมาตรการรองรับ และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้เหมาะสมไว้แล้ว ส่วนประเด็นกระแสเงินไหลเข้าผิดปกติในขณะนี้ ระหว่างนี้ได้มอบให้ ธปท.เข้าไปดูข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นอย่างไร ขณะที่การทำงานเต็มรูปแบบ จะต้องรอให้แต่งตั้ง ครม.อย่างเป็นทางการก่อน
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้เสนอมาตรการาระยะเร่งด่วน 4 เดือนให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการทำทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับภาษีตอบโต้จากสหรัฐ ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี การขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน ธปท.ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ประมาณ 34–35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น คนละครึ่ง และ Easy E-Receipt รวมถึงรณรงค์ใช้ของไทย ฟื้นเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ขอให้จัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย และเร่งผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยใช้เอสเอ็มอีไทย ด้านแรงงาน ควรแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขณะเดียวกันประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพ ผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลา 1 ปี , เดินหน้าปราบคอรัปชั่น ยาเสพติด พนันออนไลน์ ค้ามนุษย์
ส่วนมาตรการระยะกลาง 8 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก รัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา จัดตั้งกลไกการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด ควรเร่งแก้ปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ลดต้นทุนเสริมสภาพคล่อง
“ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือ แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทย”
นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมข้อเสนอจากหอการค้าทั่วประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ต่อนายกฯ 7 ด้าน ประกอบด้วย 1.เสริมสร้างความเชื่อมั่นประเทศ 2.เพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 3.ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนประชาชน
4.ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม สร้างความสามารถแข่งขันให้เอสเอ็มอี 5.รักษาความปลอดภัยและเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะชายแดน 6.เตรียมแผนรับมือความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ และ7.กระตุ้นกำลังซื้อและการท่องเที่ยว โดยหวังว่า รัฐบาลรัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
นายพจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศหอการค้าไทยจึงได้ระดมข้อคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นำเสนอรัฐบาลด้วย