ผ่าแผนแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างฝั่งตะวันออก ถอดบทเรียนจากน้ำท่วมสู่การแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ
ฤดูฝนปีนี้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุแล้วถึง 3 ลูก เริ่มตั้งแต่ พายุ “วิภา” ในเดือนกรกฎาคม 2568 พายุ “คาจิกิ” ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่เกิดดินโคลนถล่มและน้ำท่วม ในเส้นทางที่พายุพัดผ่าน ล่าสุดพายุ “ตาปะฮ์” แม้จะไม่พาดผ่านประเทศไทยโดยตรง แต่อิทธิพลของพายุทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้นเกิดฝนตกหนักในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง
อย่างไรก็ตามในระยะที่ผ่านมา อิทธิพลของพายุทำให้บริเวณตอนบนของประเทศไทยมีฝนตกหนัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อให้มีพื้นที่ว่างของเขื่อนรองรับน้ำหลากในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม และรักษาความปลอดภัยเขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ ที่ปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำร้อยละ 87 ของความจุเก็บกัก และเขื่อนภูมิพล ที่มีปริมาณน้ำร้อยละ 76 ของความจุเก็บกัก
การเร่งระบายน้ำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาโดยตรง ประกอบกับฝนที่ตกหนักในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา และยังมีน้ำทะเลหนุนในช่วงกลางเดือนกันยายน 2568 อีกด้วย เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น จำเป็นจะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรอบครอบ และจะต้องมีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำเพียงพอ ถึงจะสามารถลดผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างในเขตจังหวัดปทุมธานี นครนายก ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญ อีกพื้นที่หนึ่งมีทั้ง พื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และมีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก
นายวิรวัฒน์ ผสมทรัพย์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตใต้ กรมชลประทาน กล่าวว่า สถานการณ์น้ำปีนี้ยังรุนแรงไม่เท่ากับปี 2565 ที่เกิดภาวะน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งกรมชลประทานได้วางแผนรับมือตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน โดยได้ตรวจสอบอาคารชลประทานทั้งหมด เตรียมพร้อมเครื่องมือเครื่องจักร และได้ดำเนินการกำจัดวัชพืชทางน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำบริเวณคลองสายต่างๆในพื้นที่
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนได้บริหารจัดการน้ำตามที่กรมชลประทานวางแผนไว้ พร้อมทั้งได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้การระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกนั้น จะใช้คลองรังสิตประยูรศักดิ์ด้านซ้ายระบายออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านทางสถานีสูบน้ำจุฬาลงกรณ์ ประมาณ 7-8 ล้านลบ.ม.ต่อวัน ส่วนด้านขวาจะระบายออกแม่น้ำนครนายก ผ่านสถานีสูบน้ำเสาวภาผ่องศรี และใช้สถานีสูบน้ำสมบูรณ์ ประมาณ 9 ล้านลบ.ม.ต่อวัน ส่วนปริมาณน้ำที่เหลือจะระบายลงสู่คลองแสนแสบต่อไป
ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูฝนจนถึงปัจจุบันการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกผ่านสถานีสูบน้ำทั้งหมดร่วมกับการเสริมกำลังเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาดต่างๆรวม 110 เครื่องเพื่อสูบน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งแม่น้ำ พร้อมทั้งติดตั้งบิ๊กแบ๊คให้บ้านเรือนประชาชน เป็นไปได้ด้วยดีตามแผน สามารถลดผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมขังให้พื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่การเกษตรของทั้ง 4 จังหวัด ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนปัญหาน้ำทะเลหนุุนสูง เป็นเรื่องหนึี่งที่กรมชลประทานให้ความสำคัญ หากไม่วางแผนป้องกันที่ดีแล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน และพื้นที่การเกษตรได้ สำหรับพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่ติดกับทะเล ได้เตรียมแผนป้องกัน ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง โดยจะดำเนินการปิดประตูระบายน้ำ ตลอดแนวแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำบางปะกงทุกจุดได้แก่ ประตูระบายน้ำเสวภาผ่องศรี ประตูระบายน้ำสมบูรณ์ ประตูระบายน้ำปลายคลอง 19-21 เพื่อรักษาความเค็มน้ำแม่น้ำไม่ให้เกิน 0.5 mg/l รวมทั้งป้องกันไม่ให้น้ำทะเลรุกล้ำเข้าเขตปลูกพืชและเขตผลิตน้ำประปา
นอกจากนี้ยังได้ กำจัดวัชพืชน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ เตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ รองรับฝนที่จะตกลงมา สามารถช่วยลดพื้นที่น้ำท่วมในเขต 4 จังหวัดดังกล่าวได้ไม่น้อยกว่า 690,000 ไร่ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามระบบชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถที่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ทั้งหมด จำเป็นจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้น ซึ่งกรมชลประทานได้วางแผนแก้ไขปัญหาทั้งในระยะกลางและระยะยาว โดยในระยะกลางนั้นมี 6 แผนด้วยกัน ประกอบด้วย
1.การก่อสร้างสถานีสูบน้ำปลายคลอง 19 บริเวณตำบลโยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา จะเริ่มดำเนินการเดือนตุลาคม 2568 กำหนดแล้วเสร็จเดือนกันยายน 2569 ขณะนี้ได้รับอนุมัติงบประมาณดำเนินแล้ว
2.การก่อสร้างสถานีสูบน้ำปลายคลอง 20 ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เริ่มดำเนินการเดือนตุลาคม 2569 กำหนดแล้วเสร็จเดือนกันยายน 2570 ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้วเช่นกัน
ส่วนแผนงานที่ 3 – 6 เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำประตูระบายน้ำจำนวน 4 สาย ได้แก่ ปลายคลอง 14 (สายล่าง) ปลายคลอง 15 (สายล่าง) ปลายคลอง 16 (สายล่าง) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ต.บึงน้ำรักษ์ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา และปลายคลอง 17 (ใหม่) ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา โดยแผนงานทั้งหมด เริ่มดำเนินการเดือนตุลาคม 2569 กำหนดแล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2570 ขณะนี้้ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว
ส่วนแผรระยะยาว จะเป็นการดำเนินงานภายใต้ 9 แผนงานโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำเหนือออกสู่ทะเล ลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจอันเกิดจากอุทกภัย และเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภค-บริโภค โดย 1 ใน 9 แผนงาน เป็นแผนงานบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างฝั่งตะวันออก ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างระบบชลประทานเดิมที่มีอยู่ ที่ระบายน้ำผ่านทางคลองระพีพัฒน์และคลองสาขาต่างๆ ซึ่งจะมีการปรับปรุงคลองชลประทานทั้งหมด 26 แห่ง รวมความยาว 490 กิโลเมตร พร้อมทั้งก่อสร้างและปรับปรุงอาคารบังคับน้ำ 14 แห่ง ปรับปรุงสถานีสูบน้ำ 2 แห่ง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2572 ใช้งบประมาณการก่อสร้างรวมประมาณ 64,000 ล้านบาท
“เมื่อแล้วเสร็จจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ได้จากเดิม 210 ลบ.ม.ต่อวินาที เพิ่มเป็น 400 ลบ.ม.ต่อวินาที ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำในคลองช่วงฤดูแล้งได้ 18 ล้านลบ.ม.ต่อปี และที่สำคัญสามารถบรรเทาอุทกภัย ลดมูลค่าความเสียหายรวมจากอุทกภัยเฉลี่ยถึงปีละ 5,085 ล้านบาท” ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตใต้ กล่าว
สำหรับ 9 แผนงานโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นโครงการที่กรมชล ประทานนำเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 มาใช้เป็นโจทย์ในการศึกษา แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ คือ พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี 3 แผนงาน นอกจากแผนงานการปรับปรุงโครงสร้างระบบชลประทานเดิมที่มีอยู่ดังกล่าวแล้ว ยังมีแผนการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับคลองส่งน้ำชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งจะสามารถระบายน้ำในช่วงน้ำหลากได้ถึง ประมาณ 900 ลบ.ม.ต่อวินาที ใช้งบในการก่อสร้างประมาณ 35,000 ล้านบาท และ แผนการก่อสร้างคลองระบายน้ำสายใหม่ จากแม่น้ำป่าสักลงสู่ทะเลโดยตรง สามารถระบายน้ำได้สูงสุดประมาณ 600 ลบ.ม.ต่อวินาที อีกด้วย
ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี 2 แผนงานคือ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งจะต้องมีการขุดคลองระบายน้ำหลาก(บายพาส) แม่น้ำท่าจีนบริเวญอ.โพธิ์พระยา จ.สุพรรณบุรี ขุดช่องลัดแม่น้ำท่าจีนที่มีลักษณะเป็นกระเพาะหมูจำนวน 4 แห่ง และขุดลอกแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 40 จากปากแม่น้ำขึ้นมา ซึ่งจะสามารถเพิ่มการระบายได้จาก 464 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 535 ลบ.ม.ต่อวินาที และแผนการปรับปรุงโครงสร้างระบบนำน้ำของโครงการชลประทานเดิมที่มีอยู่ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำตั้งแต่คลองเจ้าเจ็ดมายังคลองพระยาบันลือ ต่อไปยังคลองพระพิมล คลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ คลองสนามชัย-มหาชัย และออกสู่ทะเลอ่าวไทย ซึ่งจะสามารถระบายน้ำเพิ่มได้จาก 50 ลบ.ม.ต่อวินาทีในปัจจุบันเป็น 130 ลบ.ม.ต่อวินาที
และอีกพื้นที่เป็นในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา 4 แผนงาน คือ แผนการขุดคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะระบายน้ำได้ 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที แผนการขุดลอกลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะขุดลอกเป็นช่วงๆรวมระยะทาง 20 กิโลเมตร เพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถระบายน้ำได้ในอัตรา 2,800 ลบ.ม.ต่อวินาที แผนการสร้างทำนบ ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกันน้ำ และ แผนการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนวงแหวนรอบ 3 ฝั่งตะวันออก คลองสายนี้จะตัดยอดน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ประมาณ 500 ลบ.ม.ต่อวินาที ขณะนี้กรมชลประทาน กรมทางหลวง และไจก้ากำลังทำการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้เบื้องต้น ก่อนจะทำการศึกษา EIAควบคู่กับการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 3
เมื่อการดำเนินตาม 9 แผนงานโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างแล้วเสร็จทั้งหมด ไม่ใช่แค่ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจะถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังจะเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำเพื่อการเกษตรอีกด้วย