‘กูละเบื่อ’ บทเรียนชีวิต'ดร.สุเมธ' ผู้ทำงานเพื่อแผ่นดิน
GH News October 16, 2025 10:11 AM

ตลอดเวลากว่า 37 ปีแห่งการถวายงานสนองพระมหากรุณาธิคุณแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ของดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้สั่งสมทั้งประสบการณ์ ความคิด และบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าไว้มากมาย

ในวัยย่างเข้า 87 ปี ดร.สุเมธ ยังคงมุ่งมั่นทำงานและส่งต่อแรงบันดาลใจ อันเป็นจุดยืนของชีวิตผ่านถ้อยคำและตัวอักษร โดยล่าสุดได้จรดปลายปากกาออกมาเป็นหนังสือชื่อ “กูละเบื่อ”  ที่จัดพิมพ์และจำหน่ายโดยศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   แค่ชื่อเรื่อง  ก็ชวนสะดุดหู  แต่เนื้อหาภายในกลับแฝงด้วยพลังของความคิด ความเข้าใจ และอารมณ์ขันในแบบฉบับของตนเอง
ดร.สุเมธ  ได้ถ่ายทอดมุมมอง “ความเบื่อ” ในอีกด้าน ไม่ใช่ความเบื่อหน่ายที่สิ้นหวัง แต่คือความเบื่อที่เปิดทางให้เกิดการคิด การเรียนรู้ และการเติบโตของชีวิตอย่างลึกซึ่ง ประสบการณ์ชีวิตอันเข้มข้นของชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งชีวิต และมีร่างกายที่ยังคงแข็งแรงเกินวัย ดร.สุเมธ กล่าวว่า ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองนัก เพราะชีวิตที่ผ่านมาถูกใช้อย่างสมบุกสมบันจากการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9  ตลอดระยะเวลา 35 ปี เดินทางวันละ 6-7 ชั่วโมง อานิสงส์จากการถวายงานนั้นทำให้ขายังคงแข็งแรง

“แม้วันนี้ร่างกายจะมีส่วนที่ชำรุดไปบ้าง ปอดเหลือครึ่งเดียว ไตครึ่งเดียว และได้ยินเพียงข้างเดียว แต่หูข้างเดียวก็มีข้อดี ถ้าไม่อยากฟังใคร ก็ยื่นข้างที่ไม่ได้ยินให้” ดร.สุเมธ เล่าด้วยอารมณ์ขัน

ทุกวันนี้ ดร.สุเมธ กล่าวว่า ยังทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ ตั้งแต่เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ไปจนถึงช้าง ม้า วัว ควาย อย่าง โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ จังหวัดสระแก้ว โรงเรียนควาย ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำรัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำที่มีผู้บริจาคเนื่องจากน้ำท่วมบ่อยเป็นแหล่งเลี้ยงควาย เพราะควายชอบน้ำปัจจุบันโรงเรียนมี ครูควายอยู่ราว 30 ตัว โดยตนเองทำหน้าที่ครูใหญ่ ที่นี่มีหลักสูตรสุดพิเศษ เจ้าของควายต้องเข้าเรียนกับควาย เพื่อเรียนรู้การสั่งงานและอยู่ร่วมกัน หลายครั้งควายเรียนจบก่อนเจ้าของ เพราะเจ้าของยังสั่งไม่เป็น

ย้อนกลับไปในช่วงวัยเลือดร้อน ดร.สุเมธ  เล่าว่า เรื่องชกต่อยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต เพราะ ถูกบังคับให้ไปต่อย ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 ตามวิธีอบรมอันเข้มงวดของบิดา เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกเพื่อนที่ตัวใหญ่กว่าชกจนปากบวม ฟกช้ำ พอกลับบ้าน พ่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นและได้สู้หรือไม่ เมื่อบอกว่าต่อยกลับไปเพียงครั้งเดียว พ่อกลับสั่งว่าพรุ่งนี้ไปต่อยใหม่ ด้วยความกลัวพ่อมากกว่าคนรังแก จึงทำตามกลับไปต่อย 2 ครั้ง จนครั้งที่สาม คนที่เคยรังแกกลับวิ่งหนีเอง เหตุการณ์นั้นกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนให้รู้ว่าความกล้าไม่ได้วัดจากขนาดตัว แต่อยู่ที่หัวใจ คนตัวใหญ่แต่ใจอ่อน ก็แพ้ได้

“เมื่อเข้าเรียนที่วชิราวุธวิทยาลัยได้เล่นกีฬารักบี้ ซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทั้งพลังและความอดทน แม้การเล่นรักบี้ทำให้บาดเจ็บบ่อย แต่ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้จักขอบเขตของความโกรธ เพราะในสนาม แม้จะเจ็บและอยากแก้แค้น แต่ต้องรู้จักให้อภัยและรักษาความเป็นสุภาพบุรุษอย่าทำร้ายจนเกินงามนั่นคือบทเรียนแห่งวินัย ที่หล่อหลอมให้เข้าใจคำว่าวินัยและใจนักสู้” ดร.สุเมธ กล่าว

วัยแห่งการเรียนรู้เปิดโลกกว้าง ดร.สุเมธ ได้เล่าถึงประสบการณ์ช่วงนั้นว่า มีโอกาสได้เรียนต่างประเทศหลายแห่ง ทั้งฝรั่งเศส ลาว และเวียดนาม ทำให้เคยหลงคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดในโลกมองคนอื่นว่าโง่ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปยอมรับว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาธรรมดาของคนหนุ่มที่ยังไม่ผ่านร้อนผ่านหนาว และยังไม่รู้จักโลกมากพอ และยอมรับอย่างซื่อตรงว่าตนเองเป็นคนขี้เกียจโดยธรรมชาติ แต่เพราะพ่อเป็นคนตั้งเงื่อนไขเสมอว่า หากอยากได้สิ่งใด ต้องลงมือทำให้สำเร็จก่อนถึงจะได้รางวัล จึงกลายเป็นแรงผลักให้ขยันเพราะจำเป็น และสภาพแวดล้อมทำให้หยุดขยันไม่ได้ ต้องทำงานต่อไป

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ช่วงชีวิตข้าราชการของ ดร.สุเมธ แบ่งได้เป็น 2 ภาค ภาคแรก คือช่วง 12 ปีก่อนถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9  โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองวางแผนเตรียมพร้อม ในยุคที่ประเทศเผชิญปัญหาความไม่สงบและเหตุการณ์ก่อการร้าย ทำให้ อยู่ในจุดที่ได้เห็นทั้งความรุนแรงและความทุกข์ของผู้คนเราเป็นฝ่ายไล่ฆ่า เขาก็หนีเข้าป่า ภาพเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงช่วงที่ศึกษาอยู่ในเวียดนามและลาว ซึ่งได้เห็นการล่มสลายของประเทศที่เข่นฆ่ากันเอง ประสบการณ์นั้นทำให้ตระหนักว่า “ลูกปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้” และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงรับทราบและทรงมีแนวทางแก้ไขที่ลึกซึ้งกว่า ไม่ใช่ด้วยอาวุธ แต่ด้วยการทำให้ประชาชนมีอยู่มีกิน จากผู้ก่อการร้าย กลายเป็นผู้หลงผิด และเมื่อกลับใจเจ้ามอบตัว ก็กลับมาสร้างชีวิตใหม่ได้

ภาคสองคือ ในช่วงนั้น พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ตั้ง สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ สำนักงาน กปร.และได้ตามตัวให้มาร่วมถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จากอดีตข้าราชการที่เคยถือปืนอยู่ในป่า สู่การนั่งพับเพียบถวายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท จุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนจาก นักสู้ด้วยกำลัง เป็นนักสู้ด้วยปัญญา เป็นระยะเวลา 35 ปี ในการดำรงตำแหน่งกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และยังคงดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน รวมเวลากว่า 37 ปี แห่งการทำงานเพื่อแผ่นดิน

การทำงานในมูลนิธิชัยพัฒนา ดร.สุเมธ ได้ยกตัวอย่างการประสานงานด้านสาธารณสุขที่เคยต้องติดต่อประวานงานกับโรงพยาบาลหลายร้อยแห่ง โดยงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากมูลนิธิและเครือข่ายภาคประชาสังคม เพราะระบบราชการอย่างเดียวมักตอบสนองช้า จึงนึกถึงคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ว่าเมื่อระบบราชการช้า มูลนิธิต้องทำด้วยใจจะสามารถลงมือได้ทันที เมื่อมูลนิธิตั้งใจทำงานก็จะเกิดผลจริง

“รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ให้บทเรียนจากการลงมือทำ เหมือนช่วงสิบปีแรกที่อยู่ในสนามรบ ได้เห็นทั้งความยากลำบากและการต่อสู้จนเข้าใจวิธีการเอาตัวรอดและการต่อสู้ทางความคิด  วันนี้ผมยังต่อสู้ แต่เป็นการต่อสู้ด้วยการพัฒนา ไม่มีการใช้ความรุนแรง ใช้การพัฒนาเป็นอาวุธเพื่อสู้กับความยากจนและสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายแทนการฆ่าฟันกัน” ดร.สุเมธ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

กับการเป็นนักเขียน ดร.สุเมธ กล่าวว่า  จริง ๆ แล้วไม่ได้ชอบเขียนหนังสือเลย และไม่ได้ขยันอย่างที่หลายคนคิด แต่ผลงานหลายเล่มเกิดขึ้นจากความบังเอิญและเรื่องเล่าระหว่างชีวิตประจำวัน เล่มแรกเกิดจากการพูดคุยกับทีมงานจากศูนย์หนังสือจุฬาฯ ช่วงปีใหม่ขณะนั้นมีคนมาขอพรและก็ชอบเล่าเรื่อง ชอบพูดตลกเพื่อคลายความหนักหนาของชีวิต เรื่องเล่าตลกเหล่านี้ได้รับความสนใจจากผู้ฟังมาก จึงถูกแนะนำให้รวมเป็นหนังสือและตั้งชื่อว่า “อะไรกันละหว่า?” เสี้ยวชีวิตที่ยังเป็นปริศนา  ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งแบบเล่น ๆ แต่กลับกลายเป็นที่จดจำ แม้ทีมบรรณาธิการจะมองว่าเนื้อหาที่ส่วนหนึ่งเป็นการพูดคุยเหล่านี้ดูไร้สาระ แต่เมื่อพิมพ์ออกมากลับประสบความสำเร็จเกินคาด และมีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง จึงเป็นที่มาให้มีเล่มที่ 2 และได้ตั้งชื่อว่า “กูละเบื่อ”  แม้จะเบื่อก็มีเรื่องให้ชวนคิดได้เสมอ

ดร.สุเมธ ย้ำว่า หนังสือเล่มนี้ “เอาฮา ไม่มีสาระใดๆ” มีเพียงแต่อยากสร้างอารมณ์ขันให้กับผู้อ่าน แต่ทุกตัวอักษรกลับเต็มไปด้วยความหมาย และสะท้อนให้เห็นมุมมองชีวิตที่ลึกซึ้งโดยไฮไลท์หนังสือกูละเบื่อ ตอนหนึ่งที่กล่าวในหนังสือ “ตลอดเวลาสำหรับผม แม้แต่เรื่องตลกโปกฮามันก็มีนัยซ่อนไว้ ท่ามกลางความตลก ความสนุกมันมีเรื่องชวนคิดเสมอเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เบาๆ ขำๆ แต่ทุกอย่างมันซ่อนคำถามและคำตอบไว้ มีแง่มุมหรือมุมหักของเรื่องอยู่ตลอดเวลา”

ผู้อ่านเพลิดเพลินกับชีวิตอีกด้านหนึ่งของ ดร.สุเมธ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผ่านเรื่องเล่าที่ บางครั้งดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับชวนขบคิด และบางครั้งก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดแบบหาคำอธิบาย ไม่ได้ หรือบางทีกลับมีคำอธิบายที่ชัดเจนแบบถึงบางอ้อ เรื่องเล่าทั้งหมดในเล่มนี้ ถ่ายทอดด้วยภาษาของคนอารมณ์ดี ผู้เข้าใจชีวิต และรู้จักเปลี่ยนความเบื่อให้ กลายเป็นความบันเทิงอย่างเหลือล้น

 หนังสือเรื่องกูละเบื่อ  มีจำหน่ายในราคาลดพิเศษ ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 ในบูธ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ  G32 ตั้งแต่วันนี้- 19 ตุลาคม 2568 เวลา 10:00 – 21:00 น. ณ ฮอลล์ 5–6-7 ชั้น LG ศูนย์ฯ สิริกิติ์ และที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ทุกสาขา สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 086-323-3703-4   โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่าย มอบให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.