“พระวิสุทธาจารเถร” หรือ “หลวงปู่เทียม สิริปัญโญ” อดีตเจ้าอาวาสวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งกรุงเก่า
เกิดเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2447 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นชาวพระนครศรีอยุธยาโดยกำเนิด เกิดที่บ้านหมู่ 7 ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ในตระกูล “หาเรืองศรี”
อายุ 10 ขวบ เรียนหนังสือกับพระภิกษุมอน ผู้เป็นน้าชาย และอาจารย์ปิ่น พร้อมกับเรียนวิชาช่างเขียนช่างสลักไปด้วย จากนั้นไปเป็นศิษย์อาจารย์จันทร์ เรียนภาษาขอม
อายุ 20 ปีอุปสมบทที่วัดกษัตราธิราช มีพระครูวินยานุวัติคุณ (มาก อินทโชติ) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระสมุห์กล่ำ วัดกษัตราธิราช เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ทองดี วัดพระงาม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดเสนาสนาราม 2 พรรษา ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อศรี วัดสนามไชยและพระอาจารย์จาบ วัดโบสถ์ อ.มหาราช แล้วกลับมาศึกษากับพระอาจารย์เหม็ง วัดประดู่ทรงธรรม
พรรษาที่ 9 กลับมาอยู่วัดกษัตราธิราช โดยนำตำราพิชัยสงคราม ตำรามหาระงับพิสดารและตำราเลขยันต์อื่นๆ ติดตัวมาด้วย
พ.ศ.2496 พระครูไพจิตรวิหารการ (บัว) ลาออกจากตำแหน่ง จึงได้เป็นเจ้าอาวาสแทนในปีเดียวกัน
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2508 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูพิพิธวิหารการ พ.ศ.2514 เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นโท ในราชทินนามเดิม พ.ศ.2517 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
พ.ศ.2522 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ “พระวิสุทธาจารเถร”
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2509 เป็นเจ้าคณะตำบลภูเขาทอง พ.ศ.2520 เป็นเจ้าอาวาส
เป็นพระนักพัฒนาที่ปฏิบัติหน้าที่การงานโดยเด็ดขาด ตลอดชีวิตฝักใฝ่อยู่ในวิปัสสนาธุระ ตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม
ผลงานมีครบครันทุกด้าน ทั้งการปกครอง การเผยแผ่ และการพัฒนา โดยเฉพาะงานก่อสร้างที่ส่วนใหญ่จะลงมือทำด้วยตัวเอง
ที่ปรากฏเป็นอนุสรณ์เป็นคุณูปการแก่ชาติและพระศาสนาคือ การจัดตั้งศูนย์ฝึกวิชาชีพวัดกษัตราธิราช ตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยในศิลปกรรมไทยและวิชาชีพเชิงหัตถศิลป์
มีความคิดริเริ่มและแสวงหาเอกลักษณ์เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา มักจะเปรียบเอาธรรมะกับช่าง ให้พิจารณา โดยเปรียบช่างสิบหมู่เป็น “นาถกรณธรรม” หรือธรรมอันเป็นที่พึ่ง 10 อย่าง ที่ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ด้านวัตถุมงคลสร้างขึ้นเพื่อแจกเป็นส่วนใหญ่ ที่ได้รับความนิยมได้แก่ ตะกรุดมหาระงับแบบพิสดาร ตำรับวัดประดู่ทรงธรรม, เหรียญรุ่นงานสมโภชวัดกษัตราธิราช, รุ่นสิทธิโชค และรุ่นนิมิตบารมี ฯลฯ
ย้อนไปในปี พ.ศ.2520 สร้างเหรียญเตรียมไว้สำหรับงานศพตัวเอง มอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้มาร่วมในพิธีพระราชทานเพลิง เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2544
วัตรปฏิบัติแสดงให้เห็นถึงความสมถะถือสันโดษ ไม่ยึดถือสิ่งใดทั้งสิ้น ในวันมรณภาพจึงไม่มีสมบัติล้ำค่าใดๆ นอกจากอัฐบริขารพร้อมทั้งสังขารที่สงบนิ่ง
มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2522 สิริอายุ 75 ปี พรรษา 55
วัตถุมงคลที่อธิษฐานจิตปลุกเสกโด่งดังไปไกล และได้รับความนิยมทั่วไป
ในพิธีสมโภชที่วัดกษัตราธิราช ได้รับพระราชทานยกฐานะเป็นพระอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ.2520 คณะศิษยานุศิษย์จัดสร้าง “เหรียญยืนนับลูกประคำ” ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นที่ระลึกแจกให้กับผู้ที่มาร่วมพิธี
ลักษณะเป็นซุ้มเสมา จัดสร้างเป็นเนื้อทองแดงรมมันปู เป็นเหรียญปั๊มอย่างหนา กว้าง 2 เซนติเมตร สูง 4.5 เซนติเมตร หนา 0.2 เซนติเมตร สร้างจำนวน 10,000 เหรียญ
ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนเต็มองค์ยืนทำสมาธินับลูกประคำ ครองจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคด มือทั้งสองถือลูกประคำอยู่ระหว่างเอว ขอบเป็นลายกนก ด้านล่างใต้รูปเหมือนมีอักษรไทยเขียนว่า “เทียม” ด้านข้างทั้งสองด้านมียันต์อุณาโลมตามแนวนอน
ด้านหลังมีความเรียบ ขอบเป็นลายกนก ตรงกลางมียันต์ “นะ” นูนขึ้นมา ใต้ยันต์มีอักขระขอมเขียนชื่อว่า “เทียม” ใต้ชื่อเขียนภาษาไทยว่า “พิเศษ” ด้านล่างเขียนตัวเลข “๒๕๒๐”
กล่าวขานกันว่าผู้มีไว้ในครอบครองล้วนแต่มีประสบการณ์อัศจรรย์
เป็นอีกเหรียญที่ได้รับความนิยม ไม่แพ้เหรียญรุ่นแรก