ย้อนประวัติศาสตร์ “ชุดไทยพระราชนิยม” ความภูมิใจของคนไทยที่ยูเนสโกต้องใส่ใจ
October 26, 2025 06:48 AM

ประเทศไทยได้เสนอ “ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ในปี 2569 เพื่อให้ “ชุดไทย” ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และเป็นการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกด้วยความภาคภูมิใจ ภายใต้หลักของความเข้าใจ, ความสร้างสรรค์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสง่างามของมนุษยชาติ

  

ย้อนประวัติศาสตร์สู่จุดเริ่มต้นของ “ชุดไทยพระราชนิยม” ซึ่งกลายมาเป็น “ชุดแต่งกายประจำชาติ” ของคนไทยทั้งชาติ เกิดขึ้นจากพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชดำริให้ออกแบบเครื่องแต่งกายประจำชาติ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของชาติไทยขึ้นใหม่ โดยทรงประยุกต์มาจากแฟชั่นการแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามครั้งโบราณกาล

  

เดิมทีเดียวการแต่งกายส่วนใหญ่เป็นไปตามแนวราชนิยม ทว่า เนื่องในวาระที่ “สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพันปีหลวง” ตามเสด็จ “พระบาท สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เสด็จ ประพาสสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป เมื่อปี 2503 มีพระราชดำริว่า คนไทยยังไม่มีชุดแต่งกายประจำชาติที่เป็นแบบแผนเหมือนชาติอื่นๆ จึงโปรดเกล้าฯให้ “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” นางสนองพระโอษฐ์นำความไปปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ, ผู้เชี่ยวชาญ ด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทย ให้ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเครื่องแต่งกายของไทยในยุคสมัยต่างๆ นับตั้งแต่ยุคอารยธรรมทวารวดีเรื่อยมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อใช้เป็นแบบอย่างและแนวคิด ขณะเดียวกันก็โปรดเกล้าฯให้ “คุณหญิงอุไร  ลืออำรุง” ช่างตัดฉลองพระองค์เลือกแบบต่างๆมาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสม จนได้ชุดไทยพระราชนิยมถึง 8 แบบ และถูกกำหนดให้เลือกใช้ในวาระต่างๆกัน โดยพระราชทานชื่อตามนามของพระที่นั่ง และพระตำหนักต่างๆ ได้แก่ ชุดไทยเรือนต้น, ชุดไทยจิตรลดา, ชุดไทยอมรินทร์, ชุดไทยดุสิต, ชุดไทยบรมพิมาน, ชุดไทยจักรี, ชุดไทยศิวาลัย และชุดไทยจักรพรรดิ

  

“ชุดไทยเรือนต้น” สำหรับใช้ในโอกาสลำลอง เหมาะแก่งานที่ไม่เป็นพิธีการ เช่น งานกฐิน และงานทำบุญต่างๆ ใช้ผ้าซิ่นฝ้าย, ผ้าไหมมีริ้วตามยาวหรือขวาง หรือผ้าเกลี้ยงมีเชิงยาวจรดข้อเท้า ผ้าซิ่นยาวป้ายหน้า ส่วนสีของเสื้อจะกลมกลืน หรือตัดกันกับผ้าซิ่นก็ได้ เป็นชุดคนละท่อนแขนสามส่วน, ผ่าอกกระดุม 5 เม็ด, คอกลมตื้นไม่มีขอบ เครื่องประดับที่ใช้นิยมติดเข็มกลัดขนาดใหญ่พอสมควรเหนืออกเสื้อด้านซ้าย, ต่างหูต้องเป็นแบบติดกับใบหู, สวมสร้อยคอประเภทไข่มุก หรือสร้อยทองสองสามสาย

  

“ชุดไทยจิตรลดา” สำหรับใช้ในพิธีกลางวัน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิง หรือยกดอกทั้งตัว ผ้าซิ่นยาวป้ายหน้าคนละท่อนกับตัวเสื้อ ซึ่งแขนยาว, ผ่าอก, คอกลม, มีขอบตั้งน้อยๆ ใช้ในงานที่ผู้ชายแต่งเต็มยศ เช่น รับประมุขของประเทศที่มาเยือนเป็นทางการ และพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ผู้หญิงไม่ต้องประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เนื้อผ้าควรสวยงามมากให้เหมาะสมกับโอกาส สำหรับงานพิธีนิยมเครื่องประดับที่หรูหราขึ้น

  

“ชุดไทยอมรินทร์” สำหรับงานพิธีตอนค่ำ ไม่คาดเข็มขัด ใช้ผ้ายกไหมที่มีทองแกม หรือยกทองทั้งชุด ผู้สูงอายุอาจใช้คอกลมกว้าง, ไม่มีขอบตั้ง และแขนสามส่วนได้ ส่วนเครื่องประดับเป็นชุดสร้อยคอ, ต่างหู, สร้อยข้อมือ ซึ่งเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน เฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา ผู้หญิงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย

  

“ชุดไทยดุสิต” เสื้อคอกลมกว้างไม่มีแขนเข้ารูป ปักแต่งลายไทยด้วยลูกปัด ใช้กับผ้าซิ่นไหม หรือผ้ายกดิ้นทองลายดอกพิกุล ตัดแบบหน้านางมีชายพก ใช้ในงานราตรีสโมสร หรือเป็นชุดฉลองสมรส เครื่องประดับใช้ต่างหู, สร้อยคอ และแหวน ตัวเสื้ออาจเย็บติดหรือแยกคนละท่อนกับซิ่นก็ได้

  

“ชุดไทยบรมพิมาน” ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน ใช้ผ้ายกไหม หรือยกทองมีเชิง หรือยกทั้งตัว ตัดแบบติดกัน ซึ่งมีจีบยกข้างหน้า และมีชายพก ใช้เข็มขัดไทยคาดซิ่นยาวจรดข้อเท้า เสื้อแขนยาว, คอกลม, มีขอบตั้งผ่าด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ ชุดนี้ใช้ในงานเต็มยศ หรือครึ่งยศ และงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ เช่น งานอุทยานสโมสร และงานพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ

  

“ชุดไทยจักรี” ใช้ในพิธีเต็มยศ และงานราตรี ผ้านุ่งจีบยกข้างหน้า, มีชายพก, คาดเข็มขัดไทย และห่มสไบ ผ้ายกเป็นแบบมีเชิง หรือยกทั้งตัว เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ทิ้งชายยาวด้านหลังพอสมควร

  

“ชุดไทยศิวาลัย” เป็นแบบไทยแท้ เสื้อใช้ผ้าสีทองเหมือนสีเนื้อตัดแบบแขนยาว เสื้อใช้ผ้ายกไหม หรือยกทอง ตัดแบบติดกัน ส่วนผ้าซิ่นยาว, จีบหน้านางมีชายพก คาดเข็มขัดไทย ตัวเสื้อแขนยาว, คอกลมมีขอบตั้งเล็กน้อย, ผ่าหลัง ตัวเสื้อตัดติดกับซิ่นคล้ายแบบไทยบรมพิมาน  แต่ห่มผ้าปักลายไทย ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ

  

“ชุดไทยจักรพรรดิ” เป็นแบบไทยแท้ ตัวซิ่นใช้ผ้ายกทั้งตัว มีเชิงยกไหมทอง หรือดิ้นทองจีบหน้านางมีชายพก ห่มแพรจีนแบบไทย สีตัดกับผ้านุ่งเป็นชิ้นที่หนึ่งก่อน แล้วใช้ผ้าห่มปักอย่างสตรีบรรดาศักดิ์สมัยโบราณห่มทับ

มิใช่เพียงแต่การฟื้นฟูและสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ แต่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ยังทรงเป็นต้นแบบในการใช้ชุดไทยพระราชนิยมในพระราชวโรกาสต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ครั้งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ชื่อเสียงของ

  

ผ้าไทยขจรขจายไปทั่วโลก ก็คือในคราที่ตามเสด็จไปทรงเยือนสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป เมื่อปี 2503 พระองค์มีพระราชเสาวนีย์โปรดเกล้าฯให้ “มร.ปิแอร์ บัลแมง” ดีไซเนอร์ชื่อก้องโลก นำผ้าไหมไทยไปออกแบบตัดเย็บฉลองพระองค์ ทั้งชุดไทยพระราชนิยม และชุดสากล 

โดยโปรดเกล้าฯให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดเตรียมฉลองพระองค์ทั้งหมด นอกจากจะถูกต้องตามธรรมเนียมตะวันตก และสมพระเกียรติในโอกาสทรงเยือนนานาประเทศ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ก็ยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักความงดงามของผ้าไทย ในฐานะงานศิลป์ทรงคุณค่า

  

นับเป็นโชคดีของคนไทยที่เรามี “สมเด็จพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง” ผู้ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกล ทรงตระหนักรู้ในคุณค่าของความเป็นไทย อันเป็นมรดก ที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล และกำลังจะสูญสิ้นไป จึงทรงทำทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดมรดกล้ำค่าของแผ่นดิน ให้ยังคงเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก และเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.