กกพ.แจงเหตุ “โรงไฟฟ้าไซยะบุรี” หลุดจากระบบกะทันหัน กระทบโรงไฟฟ้าไทย-สปป.ลาว หยุดทำงานชั่วคราว พบไฟฟ้าดับบางพื้นที่ เหตุอุปกรณ์ป้องกันทำงานผิดพลาด
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 เกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ขนาดกว่า 1,200 เมกะวัตต์ หลุดออกจากระบบกะทันหัน ส่งผลให้ความถี่ไฟฟ้าในระบบลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งในไทยและ สปป.ลาว ต้องหยุดทำงานชั่วคราว เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่รวมกว่า 240 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานการไฟฟ้าของไทย ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที โดยเพียงไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุ กฟผ.ได้สั่งการให้เขื่อนหลักทั่วประเทศ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง พร้อมประสาน กฟน.และ กฟภ. นำโหลดกลับเข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน ภายในเวลา 6-35 นาที นับตั้งแต่ไฟฟ้าดับ จนระบบไฟฟ้ากลับมามีเสถียรภาพและสามารถจ่ายไฟได้ตามปกติทุกพื้นที่
จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า สาเหตุสำคัญมาจากการทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่ต้นทาง และการตั้งค่าอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าบางแห่งที่อยู่ในระบบไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด Grid Code ของการไฟฟ้า ทำให้โรงไฟฟ้าบางแห่งมีกลไกตอบสนองเร็วจนเกินไป และหลุดออกจากระบบก่อนเวลาที่ควรจะเป็น
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ย้ำให้เห็นถึงความพร้อมของระบบไฟฟ้าไทยในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการตอบสนอง การประสานงาน และการฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็ว โดยหน่วยงานกำกับกิจการพลังงานและหน่วยงานการไฟฟ้า ทั้ง กฟผ. กฟน. และ กฟภ. จะเดินหน้าปรับปรุงมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เร่งดำเนินมาตรการแก้ไข
โดยให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งปรับปรุงการตั้งค่าให้ถูกต้องตามมาตรฐาน Grid Code ที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบป้องกันและเข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรฐานความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าประเทศไทยมีพลังงานที่มั่นคง ปลอดภัย และพร้อมรองรับทุกเหตุการณ์ในอนาคต
“ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า สำนักงาน กกพ.ได้สั่งการให้หน่วยงานในกำกับดำเนินการร่วมกันดูแลเสถียรภาพระบบไฟฟ้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ” ดร.พูลพัฒน์กล่าว