ถอดรหัส ส.ส.ร.สูตรคนละครึ่ง ส้ม+น้ำเงิน แก้กับดัก ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’
GH News October 31, 2025 12:20 AM
คอลัมน์ : Politics policy people forum

โจทย์อันตรายที่สุดสำหรับเกม “ปลดล็อก” แก้รัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยการแก้มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อนำไปสู่การมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) คือการ “ตีความ” คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 กันยายน 2568 ที่กำหนดว่า “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

เท่ากับว่า การแก้รัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ โดย สส.และ สว. 43 คน ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นอาจจะถูก “ตีตก” ด้วยข้อหาขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกุนซือกฎหมายของรัฐบาลอนุทิน ได้เฉลยที่มาของคำวินิจฉัยดังกล่าวจากผู้อยู่วงในว่า

“ผมถามตุลาการบางท่านที่เป็นนักวิชาการด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาก่อน ตุลาการท่านก็บอกว่าศาลกลัวว่าถ้าให้ประชาชนเลือกตรง เดี๋ยวรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นกฎหมายป่าไม้ กฎหมายชลประทาน กฎหมายที่ดิน กฎหมายอะไร ซึ่งมันก็คงจะไม่ดีเท่าไรว่ารัฐธรรมนูญของไทยอาจจะไม่เหมือนของบ้านเมืองอื่นเขา นี่คือเหตุผลของศาล”

แต่เมื่อที่ประชุมรัฐสภา รับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพียงแค่ 2 ฉบับ คือ ฉบับของพรรคประชาชน และฉบับของพรรคภูมิใจไทย

และใช้ฉบับพรรคประชาชนเป็น “ร่างหลัก” ในการพิจารณา กลับมีคำถามว่า “สุ่มเสี่ยง” ที่จะขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

ปชน. สูตร ส.ส.ร. 2 สภา

ถอดรหัส ส.ส.ร.พรรคประชาชน มีรูปแบบเป็น 2 คณะ หนึ่ง คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

โดยบุคคลที่จะลงสมัครเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องสมัครเป็น “บัญชีรายชื่อ” ไม่น้อยกว่า 17 คน แต่ไม่เกิน 70 คน โดยให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้นำวิธีการการเลือกตั้งแบบเดียวกับเลือกตั้ง สส.

วิธีคำนวณหาผู้ที่สมควรเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้รวมผลคะแนนจากทุกบัญชีหารด้วย 70 จะได้ผลลัพธ์คะแนนเฉลี่ยต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 1 คน จากนั้นให้นำคะแนนรวมทุกบัญชีรายชื่อ มาหารกับผลลัพธ์คะแนนเฉลี่ย เมื่อหารแล้ว คนที่ได้จำนวนเต็มจะถือว่าเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ

หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลให้รัฐสภาคัดเลือกบุคคลที่สมควรเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญให้ได้จำนวน 35 คน ภายใน 15 วัน

โดยให้นำจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด (สส.และ สว. 700 คน ) หาร 35 คน ผลลัพธ์ที่ได้จะคือเป็นจำนวนสมาชิกรัฐสภา (20 คน) ที่สามารถใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอรายชื่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในแต่ละบัญชีให้เหลือ 35 คน เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ

อีกคณะหนึ่งคือสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีสมาชิก 100 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีหน้าที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เสนอ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ

โมเดลภูมิใจไทย เปิดรับสมัคร

ขณะที่โมเดลพรรคภูมิใจไทยนั้น กำหนดให้มี ส.ส.ร. 99 คน แบ่งเป็นมาจากจังหวัด จำนวน 77 คน ที่มาจากการเปิดรับสมัครของ กกต.

และมาจากรัฐสภาเลือกผู้เชี่ยวชาญ 22 คน ด้านกฎหมายมหาชน 7 คน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ 7 คน ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง 8 คน โดยรัฐสภาจะเลือกรายชื่อจากจังหวัดต่าง ๆ จังหวัดละ 1 คน โดยให้ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ร.

สูตรผสม ส้ม+น้ำเงิน

ทว่าแหล่งข่าวระดับสูงในฝ่ายกฎหมายรัฐบาล มองไปทางว่า ร่างของพรรคประชาชน ที่ให้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน “สุ่มเสี่ยง” ที่จะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

“สภาที่ปรึกษา 100 คน แม้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ดูให้ดีเถอะ ตรงนี้จะมีปัญหา เพราะขั้นแรกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง”

ไม่ต่างกับบรรยากาศในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ในรัฐสภา ที่ในห้องประชุมไม่สามารถตกลงกันได้ว่า สูตรของพรรคประชาชน ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

“พนิดา มงคลสวัสดิ์” สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ในฐานะโฆษก กมธ. จึงออกมาบอกว่า “มีความเป็นไปได้ว่าจะใช้สูตรของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยผสมกันคนละครึ่ง ตามที่นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะ กมธ.เป็นผู้เสนอ คือให้ผู้ที่ต้องการจะเป็น ส.ส.ร. สมัครเข้ามา และให้สมาชิกรัฐสภาแบ่งกลุ่มละ 20 คน เพื่อเลือกมา 1 คน ซึ่งดูแล้วยังไม่มีใครขัดข้อง แต่ยังไม่ใช่มติของ กมธ.”

ย้อนดูคำพูดของ “ภราดร ปริศนานันทกุล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่อภิปรายในสภาเมื่อ 15 ตุลาคม ที่กล่าวว่า เจตนารมณ์ดั้งเดิมและชัดเจนของพรรคภูมิใจไทย คือ ต้องการให้ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน แต่ติดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จึงให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก ส.ส.ร.แทน ส่วนกรณีที่กังวลเรื่องประชาชนไม่มีส่วนร่วมนั้น เราพร้อมให้ใช้นำตัวแทนประชาชน เช่น อบต. เทศบาล สท. นายก อบต. มาเลือก ส.ส.ร.จังหวัด อาจเลือกมา 300 คน แล้วส่งให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 100 คน

ไม่ห่วงถูกร้องศาล รธน.

ด้าน “พริษฐ์ วัชรสินธุ” โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะเจ้าของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับพรรคประชาชน กล่าวว่า ประเด็นแรก เราไม่ได้เลือก กมธ.ยกร่างโดยตรง ย้ำว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเขียนว่าห้ามเลือกผู้ร่างโดยตรง ดังนั้น เราจึงให้เลือกผู้ยกร่างโดยอ้อม

ยืนยันว่า สิ่งที่พรรคประชาชนเสนอไม่ได้ขัดกับข้อความในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องถกกันเยอะในชั้นกรรมาธิการ

เรื่องการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หลายคนพูดว่าสุ่มเสี่ยงต่อการถูกร้อง ซึ่งการร้องมี 2 ขั้นตอน หนึ่ง ร้องตั้งแต่วันนี้จนถึงการลงมติในวาระที่ 3 ต้องใช้เสียงข้างมากของรัฐสภา ถ้า สส.พรรคประชาชน สส.พรรคเพื่อไทย สส.พรรคภูมิใจไทย ไม่ร้องศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีใครไปร้องได้

สอง ใช้ 1 ใน 10 ของ สว.คือ 20 คน หรือ สส. 1 ใน 10 คือ 50 คน เข้าชื่อยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญผ่านประธานสภา แต่ขั้นตอนนี้ต้องยื่นหลังจากรัฐสภาลงมติผ่านวาระ 3 ไปแล้ว และกำลังอ่านถึงขั้นว่าต้องร้องหลังจากผ่านประชามติไปแล้วในช่วงระหว่างรอนำขึ้นทูลเกล้าฯหรือเปล่า

หากเป็นอย่างหลังต้องใช้ความกล้าหาญระดับหนึ่ง ที่รัฐสภาผ่านวาระสอง วาระสาม ผ่านประชามติแล้ว ยังจะไปร้องศาลรัฐธรรมนูญให้คว่ำ

“ถามว่ามีความเสี่ยงไหม..มี แต่ถ้า 3 พรรค ยืนยันว่าไม่ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ความเสี่ยงก็จะลดลงไปเยอะพอสมควร”

สุดท้าย สูตร ส.ส.ร. จึงอาจกลายเป็น “ลูกผสม” ส้ม+น้ำเงิน แก้โจทย์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.