‘กรมทางหลวง’ เปิดเวที Market Sounding โครงการมอเตอร์เวย์ ‘รังสิต–บางปะอิน’ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ดัน PPP Gross Cost เต็มรูปแบบ ช่วยแก้รถติดบนถน วิภาวดี-พหลโยธิน ลุยตอกเสาเข็ม ปลายปี69 คาดเปิดบริการปี 2574 วิ่งฉิวเชื่อมมอเตอร์เวย์M6 บางปะอิน-โคราช
6 พ.ย.2568-นายสุวิชาณ สุระบาล ผู้อำนวยการกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมฯได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 30,080 ล้านบาท โดยเป็นโครงการสำคัญภายใต้ รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP Gross Cost) เพื่อให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และสะท้อนมุมมองต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ
สำหรับการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เอกอัครราชทูต ผู้แทนหอการค้า สถาบันการเงิน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกว่า 150 คน เพื่อประเมินความสนใจของนักลงทุน และรวบรวมข้อเสนอแนะไปประกอบการจัดทำเอกสารคัดเลือกเอกชน (RFP) ก่อนเปิดประกาศเชิญชวนร่วมลงทุนอย่างเป็นทางการในปี 2569
โดยโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 เป็นส่วนหนึ่งของ แผนแม่บททางหลวงพิเศษระหว่างเมือง พ.ศ. 2560–2579 มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยง กรุงเทพมหานคร–ปทุมธานี–พระนครศรีอยุธยา รวมถึงเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิตตอนบนได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งโลจิสติกส์ของประเทศ
สำหรับรูปแบบการลงทุน PPP Gross Cost กำหนดให้ภาครัฐเป็นเจ้าของทรัพย์สินและรายได้ทั้งหมดจากค่าผ่านทาง ขณะที่ภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนตามผลการให้บริการในรูปแบบ Availability Payment โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการรวมไม่เกิน 34 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ออกแบบและก่อสร้าง รวมถึงติดตั้งระบบ ระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี และระยะที่ 2 ดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี นับจากเปิดให้บริการ กรมทางหลวงคาดว่าจะสามารถ ออกประกาศเชิญชวนเอกชนในไตรมาส 1 ปี 2569 และดำเนินการคัดเลือก รวมถึงลงนามในสัญญาภายในปีเดียวกัน เพื่อเปิดให้บริการประชาชนได้ภายในปี 2574
ส่วนรายละเอียดของโครงการ มีระยะทางรวมประมาณ 29 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร (ทิศทางละ 3 ช่อง) โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงอนุสรณ์สถาน–รังสิต ระยะทาง 7 กม. ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง และช่วงรังสิต–บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. ซึ่งเอกชนจะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาไปจนถึงทางแยกต่างระดับบางปะอิน ตลอดแนวเส้นทางจะมี จุดขึ้น–ลง และจุดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางรวม 7 แห่ง ได้แก่ รังสิต 1, รังสิต 2, คลองหลวง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นวนคร, วไลยอลงกรณ์ และประตูน้ำพระอินทร์ พร้อมจุดพักรถ (Rest Stop) ที่บริเวณรังสิต 1 ขาเข้า ซึ่งจะจัดให้มีพื้นที่จอดรถ ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ทั้งนี้ โครงการจะนำเทคโนโลยี ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) มาใช้ตลอดเส้นทาง เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ลดปัญหาความแออัดจากการรอชำระค่าผ่านทาง และยกระดับมาตรฐานการให้บริการผู้ใช้ทางให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล โดยกรมฯประเมินว่า เมื่อโครงการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ จะก่อให้เกิด ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมูลค่าปัจจุบันสุทธิกว่า 7,928 ล้านบาท และช่วยขยายรายได้ในระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 120,000 ล้านบาท จากการลดต้นทุนด้านเวลาเดินทาง ค่าพลังงาน และต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคธุรกิจ
สำหรับจุดเด่นสำคัญของโครงการที่จะดึงดูดนักลงทุนคือ การกำหนด อัตราค่าผ่านทางล่วงหน้าตลอด 30 ปี โดยไม่ต้องปรับขึ้นตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทุก 5 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจผันผวนสำหรับนักลงทุน อัตราค่าผ่านทางเบื้องต้นสำหรับรถยนต์ 4 ล้อ จะอยู่ที่ 20 บาท สำหรับการเดินทางระยะสั้น และ 40 บาท สำหรับการเดินทางตลอดสาย (รังสิต-บางปะอิน) คาดว่าในปีแรกของการเปิดให้บริการจะมีปริมาณจราจรประมาณ 14 ล้านคันต่อปี
นอกจากนี้ มั่นใจว่าโครงการมอเตอร์ M5 มีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักลงทุน เนื่องจากตั้งอยู่บนแนวเส้นทางที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่น และเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากดีมานด์การใช้ทางสูง การกำหนดอัตราค่าผ่านทางล่วงหน้ายังช่วยให้เอกชนวางแผนทางการเงินได้อย่างแม่นยำ เมื่อโครงการ M5 แล้วเสร็จในปี 2574 จะถือเป็นการสร้าง โครงข่ายมอเตอร์เวย์ต่อเนื่องสายแรกของประเทศ จากเมืองหลวงสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเชื่อมต่อจากใจกลางกรุงเทพฯ ผ่านรังสิต-บางปะอิน ก่อนเข้าสู่ M6 มุ่งหน้าสู่โคราช ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ของภูมิภาค ยกระดับระบบคมนาคมไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง
สำหรับการจัดสัมมนา Market Sounding ครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานและภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญ ได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกของโครงการและแสดงความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อให้กระบวนการจัดทำเอกสารคัดเลือกเอกชนมีความ เหมาะสม โปร่งใส และสะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชนอย่างแท้จริง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษของประเทศสู่ความสมบูรณ์และเชื่อมโยงทุกภูมิภาคอย่างไร้รอยต่อ.