‘พิพัฒน์’ ย้ำสร้างทางด่วน ‘กะทู้–ป่าตอง’ 1.67 หมื่นล้านไม่สะดุด เดินหน้าตามแผนเดิม สั่ง กทพ. หารือ ก.คลัง หาแหล่งเงินอุดหนุนให้ใช้ฟรีช่วงอุโมงค์ 1.85 กม. จ่อชงบอร์ด กทพ. เคาะภายใน พ.ย. นี้ ก่อนเสนอ ครม. เดือนหน้า เร่งเปิดประมูลต้นปี 69 เริ่มสร้างปีเดียวกัน เปิดใช้ เม.ย. 73
6 พ.ย.2568-นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการทางพิเศษระยะที่ 1 ช่วงกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร (กม.) งบประมาณรวม 16,757 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าก่อสร้าง 10,965 ล้านบาท และค่าเวนคืน 5,792 ล้านบาทว่า จากการหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคม และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ข้อสรุปว่า จะดำเนินการตามแผนเดิมของ กทพ. ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งมีนโยบายว่า ช่วงอุโมงค์กะทู้–ป่าตอง ระยะทางประมาณ 1.85 กม. จะต้องไม่เก็บค่าผ่านทาง (ฟรี)
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ไปหารือร่วมกับ กทพ. และกระทรวงการคลัง เพื่อหาแหล่งเงินมาอุดหนุนการยกเว้นค่าผ่านทางช่วงอุโมงค์ดังกล่าว รวมถึงพิจารณาว่า สามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่วนทางยกระดับในระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ ระยะทาง 30.6 กม. จะยังคงเก็บค่าผ่านทางตามปกติ เนื่องจากผู้ใช้ถนนสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นทางยกระดับหรือใช้ถนนปกติ
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. พิจารณาในการยกเว้นค่าผ่านทางดังกล่าว ภายใน พ.ย. นี้ ก่อนจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน ธ.ค. 2568 เพื่อทบทวนมติ ครม. เฉพาะเรื่องการเก็บค่าผ่านทาง โดยมีเป้าหมายเร่งการประกวดราคาภายในช่วงต้นปี 2569 และเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 ซึ่งเป็นไปตามแผนเดิม คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน มี.ค. 2573 และจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการได้ใน เม.ย. 2573
“เรากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยแนวโน้ม คือ จะพิจารณาการไม่เก็บค่าผ่านทางในช่วงอุโมงค์ ส่วนทางยกระดับระยะที่ 2 จะคงอัตราปกติ เพราะประชาชนสามารถเลือกใช้เส้นทางได้ตามสะดวก ว่าจะวิ่งด้านบนทางด่วน หรือ วิ่งด้านล่าง ซึ่งโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล เพื่อให้ภูเก็ตมีระบบคมนาคมที่ทันสมัยและปลอดภัย รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในอนาคต ผมขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการชาวภูเก็ต มั่นใจว่า โครงการนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน ไม่มีการหยุดหรือชะลอใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เพื่อให้การเดินทางของประชาชนสะดวก ปลอดภัย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของจังหวัดให้เติบโตต่อเนื่อง“ นายพิพัฒน์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดก่อนหน้านี้ จึงมีนโยบายปรับรูปแบบโครงการใหม่ โดยปรับขนาดอุโมงค์จากเดิมที่ออกแบบไว้เส้นผ่านศูนย์กลาง 17 เมตร เหลือ 10 เมตร และโอนความรับผิดชอบมาอยู่ภายใต้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการแทนนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนมีเจตนาดี เพื่อให้บริการฟรีในช่วงอุโมงค์ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่เมื่อหากโอนให้ ทล. ดำเนินการนั้น อาจจะกระทบต่อแผนการดำเนินโครงการฯ มีความล่าช้า รวมถึงจะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใหม่ จึงกลับมาดำเนินการตามแผนเดิม และยังคงนโยบายไม่เก็บค่าผ่านทาง ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ขะช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัด และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งบนเส้นทางหลักเชื่อมสนามบินภูเก็ตกับป่าตอง