‘BCH’ ทุ่ม 6 พันล้าน เปิด 3 รพ.ใหม่ แตกไลน์ S-Curve บุกตลาดอาหารเสริม
GH News November 07, 2025 10:40 AM

“บางกอก เชน ฮอสปิทอล” กางแผนลงทุนครั้งใหญ่ ปักธงขยาย รพ.ครบ 20 แห่งภายในปี 2571-2572 ล่าสุดอนุมัติแล้ว 2 แห่ง “ระยอง-สุวรรณภูมิ” จ่อคิวขยายที่ “พัทยา” เน้นชูโมเดลอินเตอร์-เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าแตกไลน์ S-Curve ใหม่ โดดชิงเค้กตลาดอาหารเสริมแสนล้านบาทผ่านการถือหุ้นใน “เอสเอ็นพีเอส” และร่วมมือกับแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพชื่อดังในไทย เผยเบื้องต้นเตรียมส่งผลิตภัณฑ์กลุ่ม “โปรตีน” ประเดิมตลาดตัวแรกในช่วงไตรมาส 4/68-ไตรมาส 1/69 ด้านตลาดต่างชาติลุ้นข่าวดี “คูเวต” ส่งสัญญาณบวก จ่อบินตรวจ รพ. ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าสิ้นปี 2568 รายได้แตะ 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-12%

นายกันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จํากัด (มหาชน) หรือ BCH ผู้บริหารเครือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์, เวิลด์ เมดิคอล และการุญเวช เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 จะอยู่ในภาวะชะลอตัว และหลายบริษัทมีการรัดเข็มขัดและประเมิน Cost Efficiency หรือความคุ้มค่าทางต้นทุนอย่างหนัก แต่ธุรกิจเฮลท์แคร์ยังคงเป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และติดอันดับ Top 1 หรือ Top 2 ธุรกิจดาวรุ่งในทุก ๆ ปี

โดยตลาดรวมสุขภาพจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 2 ดิจิต ขณะที่กลุ่มเฉพาะทางอย่างความงามและศัลยกรรมพลาสติกโตเฉลี่ยถึงปีละ 14-15% ซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากเมกะเทรนด์ที่คนมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีโรคประจำตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ครองตัวเป็นโสดมากขึ้น ไม่แต่งงาน หรือไม่มีลูก ทำให้มีกำลังซื้อในการให้รางวัลตัวเอง โดยเฉพาะการลงทุนกับสุขภาพและความงาม

“เทรนด์ที่น่าสนใจในปัจจุบันคือ ทัศนคติในการมาโรงพยาบาลเปลี่ยนไป แต่ก่อนคนจะมาโรงพยาบาลเฉพาะตอนป่วย แต่ปัจจุบันกลุ่ม Health Conscious หรือคนที่ไม่ป่วยก็มาโรงพยาบาลเพื่อดูแลตัวเองให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีกำลังซื้อสูง และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในปี 2568-2569 ท่ามกลางภาวะที่กำลังซื้อทั่วไปในประเทศหดตัวลง” นายกันตพรกล่าว

ผุด รพ.ใหม่-ปักธงครบ 20 แห่ง

นายกันตพรกล่าวต่อว่า ด้วยภาพรวมของธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในปี 2569 บริษัทจึงมีแผนที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นตั้งเป้าที่จะขยายโรงพยาบาลจากปัจจุบันมีจำนวน 16 แห่ง ให้ครบ 20 แห่งภายในปี 2571-2572 นี้

โดยล่าสุด บริษัทได้ข้อสรุปการลงทุนใน 3 โลเกชั่นใหม่แล้ว ซึ่ง 2 แห่งแรกที่ได้รับการอนุมัติและเริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว ได้แก่ รพ.เกษมราษฎร์ ระยอง โดยเบื้องต้นได้มีพิธีลงเสาเอกไปแล้วเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา และ รพ.เกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ ซึ่งจะตั้งอยู่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมีกำหนดลงเสาเอกในวันที่ 3 ธ.ค. 2568 นี้

“ทั้ง 2 แห่งนี้เราจะใช้แบรนด์เกษมราษฎร์ ที่เน้นตลาดกลางและรับประกันสังคมเป็นหลัก โดยมีงบฯลงทุนประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาทต่อแห่ง โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 720 วัน และเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2571 โดยเฟสแรกตั้งเป้ารองรับผู้ประกันตน 200,000 คน ซึ่งจะมีขนาดเริ่มต้นไม่เกิน 150 เตียง และสามารถขยายได้ถึง 200-300 เตียงในอนาคต” นายกันตพรกล่าวและว่า

ส่วนโลเกชั่นที่ 3 คือ พัทยา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซึ่งยังไม่ได้ขออนุมัติบอร์ด แต่มีแผนชัดเจนแล้ว โดยโมเดลที่พัทยาจะเป็นโรงพยาบาลระดับ International คล้ายกับโรงพยาบาลเวิลด์ เมดิคอล ที่ถนนแจ้งวัฒนะ คาดว่าจะใช้งบฯลงทุนสูงกว่าที่อื่น หรือประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท

“ปัจจุบันเรามีกำไรสะสมและกระแสเงินสดในมือประมาณ 8,000 ล้านบาท และมีหนี้น้อยมาก ทำให้การลงทุนขยายโรงพยาบาลใหม่แทบจะไม่ต้องกู้ยืมเงิน นอกจากนี้โอเปอเรชั่นที่ได้เงินสดเข้ามาก็เพียงพอสำหรับจ่ายเงินลงทุนใหม่ ซึ่งในอนาคตบริษัทก็จะยังคงมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการ หรือ M&A อย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นก็เริ่มมีโรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัดหลายแห่งติดต่อเข้ามาเสนอดีลกับบริษัท ซึ่งก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ซื้อกิจการในพื้นที่ที่บริษัทมีโรงพยาบาลอยู่แล้ว”

ชิงเค้ก “อาหารเสริม” แสนล้าน

นายกันตพรกล่าวด้วยว่า นอกจากแผนการขยายโรงพยาบาลและการทำ M&A แล้ว ในปี 2569 บริษัทก็มีแผนที่จะขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่จะเป็น S-Curve ให้กับบริษัท โดยเบื้องต้นได้เล็งเห็นโอกาสในตลาดอาหารเสริม (Supplement) ซึ่งถือเป็นตลาดต้นทางของสุขภาพ และมีมูลค่าตลาดมหาศาล โดยปี 2567 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 85,000 ล้านบาท และคาดว่าปี 2568 จะแตะ 90,000 ล้านบาท และทะลุ 100,000 ล้านบาทในไม่ช้า

กลยุทธ์หลักคือ การเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เอสเอ็นพีเอส จำกัด (SNPS) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นผู้ผลิต (OEM) อาหารเสริมกลุ่มสมุนไพรรายใหญ่ของไทย ตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อร่วมมือกับแบรนด์ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อดังของไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมร่วมกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่จะเปิดตัวคาดว่าจะเป็นกลุ่มโปรตีน โดยตั้งเป้าหมายไว้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงไตรมาส 1 ปี 2569 โดยจะวางราคาในระดับกลางประมาณ 500-600 บาท

“แม้ตลาดนี้จะมีการแข่งขันสูงมาก สะท้อนจากที่มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นทุกวันทางออนไลน์และล้มหายตายไปก็ค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่เรามีและแบรนด์อื่นไม่มีคือความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การที่เราเข้ามาทำตลาดตรงนี้ก็คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนใหม่ของบริษัท ที่จะสร้างการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายกันตพรกล่าว

ลุ้นข่าวดี “คูเวต” จ่อกลับมา

นายกันตพรกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับภาพรวมตลาดคนไข้ต่างชาติ แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะได้รับผลกระทบหนักจากการหายไปของกลุ่มคนไข้ “คูเวต” ซึ่งถือเป็นตลาดอันดับ 1 ของกลุ่มตะวันออกกลาง ที่หายไปนานกว่า 1 ปีครึ่ง เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในและการเปลี่ยนระบบเบิกจ่ายสวัสดิการของรัฐบาลคูเวต จนส่งให้รายได้จากกลุ่มคนไข้คูเวตลดลงไปประมาณ 60 ล้านบาทต่อเดือน

แต่ได้เริ่มมีสัญญาณบวกแล้วตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยรัฐบาลคูเวตได้เชิญ 8 โรงพยาบาลในไทยที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้านราคาและคุณภาพเข้าร่วมนำเสนอข้อมูล ซึ่ง รพ.เวิลด์ เมดิคอล ในเครือ BCH ถือเป็น 1 ใน 8 แห่งนั้น โดยขั้นตอนต่อไปคือ คณะทำงานจากคูเวตจะเดินทางมาตรวจเยี่ยม รพ.ทั้ง 8 แห่งในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสรุปและทำข้อตกลงการส่งต่อคนไข้ในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นการดีลตรงกับรัฐบาลคูเวต โดยคาดว่าจะทำให้กลุ่มคนไข้กลับมาในอนาคต

ส่วนกลุ่มตะวันออกกลางอื่น ๆ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กาตาร์ และโอมาน เบื้องต้นยังคงมีกำลังซื้อและเดินทางมารักษาอย่างต่อเนื่อง โดยโรคที่เข้ามารักษา 3 อันดับแรก คือ 1.เบาหวาน 2.โรคกระดูกและข้อ และ 3.มะเร็ง ขณะที่ตลาด CLMV แม้ว่ากลุ่มคนไข้จากกัมพูชาจะหายไป แต่ก็ยังมีกลุ่มคนไข้จากเมียนมา และลาวเข้ามารักษา ซึ่งบริษัทก็มีโรงพยาบาลอยู่ที่ลาวอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

“รู้จักต้นทุน-ปรับตัวเร็ว”

อย่างไรก็ตาม จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าสิ้นปี 2568 บริษัทจะมีรายได้แตะ 12,000 ล้านบาท และในปี 2569 จะมีรายได้แตะ 13,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตปีละ 10-12% ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มประกันสังคม ประมาณ 40% ซึ่งเป็นฐานรายได้ที่มั่นคงและช่วยลดความผันผวนในภาวะวิกฤต ขณะที่อีก 60% มาจากกลุ่มเงินสดและประกัน และกลุ่มต่างชาติประมาณ 5-7%

“หัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทอยู่รอดและเติบโตมากว่า 40 ปี คือการที่เรามีการบริหารกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี และมีการปรับตัวที่รวดเร็ว เช่น การเปิด Hospitel เป็นรายแรกช่วงโควิด รวมถึงการรักษา Competitive Advantage ของตัวเองไว้ ซึ่งนั่นคือโนว์ฮาวในการบริหารจัดการต้นทุนและโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ในทุกสถานการณ์” นายกันตพรกล่าวทิ้งท้าย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.