'ทรัมป์' อาจไม่ถูกล้มทั้งกระดาน คดีภาษีในชั้นศาลสูงสุด
GH News November 07, 2025 07:20 PM

ศาลสูงสุดสหรัฐ (Supreme Court) เสร็จสิ้นการซักถาม และฟังการโต้แย้งด้วยวาจาครั้งแรกจากฝ่ายโจทก์และจำเลย กินเวลานานเกือบสามชั่วโมง ซึ่งยาวนานกว่าที่ศาลกำหนดไว้เกือบสองเท่า ในคดีการใช้อำนาจออกนโยบายภาษี ตามกฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA 1977) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 5 พฤศจิกายน เวลาท้องถิ่น ทำให้หลายฝ่ายโดยเฉพาะคู่ค้าของสหรัฐต่างจับตาคดีนี้ ที่แม้จะเป็นกระบวนการภายในของสหรัฐแต่ส่งผลกระทบระดับโลกว่า ผู้พิพากษาฝั่งอนุรักษนิยม 6 คน และเสรีนิยม 3 คน จะวินิจฉัยไปในทิศทางใด

คดีนี้ไม่ใช่เพียง “คดีภาษี” แต่คือ คดีที่เกี่ยวพันถึงอำนาจประธานาธิบดี ซึ่งทำให้คำตัดสินในท้ายที่สุดของศาลสูงสุดเกี่ยวกับอำนาจทางภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจไม่ใช่คำตอบง่าย ๆ ว่า “ภาษีทรัมป์” ถูกหรือไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งทนายความด้านการค้าและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคาดว่า ศาลสูงสุดจะทำให้วาระทางเศรษฐกิจของทรัมป์มีความซับซ้อน แต่อาจไม่ได้ทำลายภาษีทิ้งทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นตัดสินว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจบังคับใช้ภาษี โดยไม่ผ่านสภา

เดฟ ทาวน์เซนด์ หุ้นส่วนฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของบริษัทกฎหมายดอร์ซีย์ แอนด์ วิตนีย์ (Dorsey & Whitney LLP) ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ศาลจะไม่ตัดสินคดีนี้ ในแบบยืนยันหรือยกเลิกภาษีศุลกากรไปเลย

“ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะมีคำตัดสินที่ไม่ใช่แบบสองขั้ว” ไรอัน มาเจอรัส ทนายความประจำสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์ กล่าวกับแอกซิออส (Axios) มาเจอรัสกล่าวอีกว่า ผู้พิพากษาอาจตัดสินว่าทรัมป์สามารถกำหนดภาษีศุลกากรได้ฝ่ายเดียว แม้ว่าจะทำได้ในบางกรณีเท่านั้น ขณะเดียวกันก็กำหนดกรอบเวลาในการบังคับใช้ที่อาจเป็นไปได้

“เมื่อผู้พิพากษาพิจารณาคดีร่วมกัน พวกเขาน่าจะพยายามหาวิธีจำกัดขอบเขตการตัดสินใจเพื่อให้เสียงเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นในผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย” เขากล่าวเสริม

สิ่งที่น่าจับตามอง คือว่า แม้ศาลสูงสุดจะยกเลิกภาษีศุลกากรของทรัมป์บางส่วนหรือทั้งหมด สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ยิ่งคลุมเครือมากขึ้น

ในจุดหนึ่ง ผู้พิพากษา เอมี่ โคนี บาร์เรตต์ ยกประเด็นความเป็นไปได้ว่าการคืนเงินภาษีอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก

“หากพวกเขาตัดสินว่าภาษีศุลกากรนั้นผิดกฎหมาย… จะมีการส่งคดีคืนไปยังศาลชั้นล่างเพื่อพิจารณามาตรการเยียวยา” โรเบิร์ต ชาปิโร หุ้นส่วนของบริษัทกฎหมายทอมป์สัน โคเบิร์น (Thompson Coburn LLP) ของสหรัฐกล่าว

ยิ่งศาลสูงสุดใช้เวลานานเท่าใดในการตัดสิน จำนวนเงินภาษีศุลกากรก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

บทวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่ตามมาล้วนมุ่งเน้นไปที่ภาษีศุลกากรที่ขณะนี้เก็บมาได้มูลค่า 195,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.3 ล้านล้านบาท) ที่รัฐบาลสหรัฐอาจจำเป็นต้องคืน และการขาดกลไกที่มีอยู่สำหรับการคืนภาษี ซึ่งตามที่สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในเอกสารยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า สหรัฐอาจต้องคืนเงิน 7.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24 ล้านล้านบาท) หรือถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32 ล้านล้านบาท) หากศาลตัดสินว่าภาษีศุลกากรดังกล่าวผิดกฎหมาย และหากศาลรอจนถึงฤดูร้อนหน้า (มิถุนายน 2026) จึงจะออกคำตัดสินดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีคำถามว่า จะส่งผลกระทบต่อข้อตกลงการลงทุนมูลค่ามหาศาลที่ทรัมป์ได้รับจากต่างประเทศอย่างไร ซึ่งโดยปกติแล้ว เป็นการลงทุนเพื่อแลกอัตราภาษีที่ลดลง

หากทรัมป์ไม่สามารถกำหนดภาษีศุลกากรได้เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่กลับคืนอำนาจนั้นให้กับรัฐสภาแทน ประเทศต่าง ๆ อาจผิดสัญญาที่ให้ไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นแค่สมมุติฐาน แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ฉากทัศน์เกี่ยวกับผลกระทบจากคำตัดสิน 1) คำตัดสินของศาลสูงสุดจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เนื่องจากการยั่วโมโหหรือทำให้ทรัมป์ไม่พอใจนั้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศส่วนใหญ่ และอย่างน้อยเขาก็ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ทรัมป์น่าจะยังคงใช้มาตรา 232 และ 301 ควบคุมภาษีศุลกากรบางส่วน

นอกจากนี้ ข้อตกลงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศบางฉบับดูคลุมเครือมากจนประเทศต่าง ๆ อาจวางแผนที่จะชะลออยู่แล้ว

2) หลายประเทศอธิปไตยไม่ชอบถูกรีดไถ และจะรีบเร่งใช้ทางออกแรกที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลทำเกินกว่าที่บางคนคาดเอาไว้ และจำกัดอำนาจตามมาตรา 232 และ 301 ของทรัมป์

ยากที่จะระบุว่ามีบริษัทและรัฐในสหรัฐกี่แห่งที่พึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสำหรับสิ่งต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับบริษัทที่ทำเช่นนั้น อาจจำเป็นต้องมีการแก้ไขกันครั้งใหญ่

ดังนั้นการที่ทรัมป์บอกว่าคดีนี้เป็นเรื่องของความเป็นความตายของประเทศสหรัฐอย่างแท้จริงนั้น จึงถูกบางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเกินจริง เพราะแท้จริงแล้ว เป็นเรื่องของความเป็นความตายของนโยบายเศรษฐกิจของเขา และบางทีอาจรวมถึงการลงทุนที่ได้เจรจาไว้ด้วย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.